logo-heading

4 เกมแรกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 40 ทีม พลพรรคช้างศึก มี 7 แต้ม รั้งเป็นที่ 2 ในสายจี แม้ว่าจะยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมเอเชีย และรอบสุดท้ายเอเชียน คัพ 2023 ที่จีน

แม้ผลการแข่งขันที่ปราชัยต่อมาเลเซีย 1-2 จะยังคงมีแฟนบอลและผู้สื่อข่าวบางส่วนหยิบประเด็นความผิดพลาดมาพูดอยู่ แต่มันผ่านไปแล้ว และไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ และชีวิตยังต้องเดินหน้าต่อ สิ่งเดียวทีมชาติไทยต้องโฟกัสคือเกมนัดที่ 5 ที่จะต้องบุกไปเยือนเวียดนาม ถึงกรุงฮานอย แน่นอนว่าแมตซ์นี้มีความหมายต่อทั้งไทยและขุนพลดาวทองเป็นอย่างมาก นัดชี้เป็นชี้ตายที่จะกำหนดชะตาอนาคตในเส้นทางคัดบอลโลกในหนนี้ ถ้าหากเวียดนามชนะ พวกเขาจะมี 13 แต้มเต็ม โอกาสสดใสที่จะไปรอบ 12 ทีมสุดท้ายเอเชียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คงไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ถ้าหากเป็นทางฝั่งไทยชนะ โมเมนตัมจะเอียนเอียงมาอยู่ฝั่งช้างศึก และจะมี 10 แต้ม มีหวังในการลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายอยู่ ชั่วโมงนี้แข้งลูกหลานโฮจิมินส์หาญกล้า ยกระดับตัวเองขึ้นมาเข้าใกล้แถวหน้าเอเชีย พิสูจน์ได้จากการเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชียน คัพ 2019 ที่ยูเออี และบอลระดับเยาวชนในทวีปก็ผ่านเข้ารอบสุดท้ายอยู่เป็นประจำ จากเดิมที่เคยเป็นลูกไล่ทีมไทย มาวันนี้พวกเขาต่อกรสู้รบปรบมือได้ชนิดไม่เป็นรองแล้ว แม้สถิติเก่าๆพี่เหงียนก็ไม่ได้นึกถึงแล้วด้วย การเจอกันหากนับตามปฏิทินฟีฟ่า อย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 1995 ไทยดวลเวียดนามไปทั้งสิ้น 22 เกม ช้างศึกเฮไปถึง 14 นัด เสมอ และปราชัยไปแค่ 3 เกมเท่านั้น เรียกว่าผลงานเก่าๆนั้นข่มขวัญได้พอสมควร 22 เกมที่ผ่านมา ไทยเจอเวียดนาม มี 5 เกมที่ออกมาเยือนในเมืองฮานอยก็ไม่เคยง่ายแม้แต่นัดเดียว นอกจากต้องลงเล่นภายใต้ความกดดันจากนักเตะสกุลเหงียนแล้ว ยังต้องมาเจอเสียงเชียร์จากแฟนบอลเจ้าถิ่นที่เข้าแน่นเต็มความจุกดดันใส่ผู้มาเยือนตลอด 90 นาที พิสูจน์ได้จากข้อมูลเก่า ไม่ว่าจะเป็นรอบรองชนะเลิศอาเซียน คัพ ปี 1998 ไทยโดนเวียดนามบุกขยี้ไปด้วยสกอร์ 3-0 เรียกว่าสู้ไม่ได้ทั้งรูปเกมและผลสกอร์ที่เกิดขึ้น แถมแฟนบอลเหงียน 3 หมื่นชีวิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ค่อยทำลายสมาธิผู้เล่นไทย  ซึ่งหลังจบเกมในตอนนั้น แม้ว่าทีมชาติพวกเขาจะขยี้ช้างศึก แต่ยังไปล้อมรถบัสทีมชาติเพื่อประกาศศักดาเหนือขุมพลไทย จนทีมชุดนั้นแทบเอาตัวไม่รอดในการกลับมาแดนสยาม ตามมาด้วยเกมนัดชิงชนะเลิศอาเซียน คัพ ในปี 2008 นัดที่ 2 แม้ว่ามุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา จะซัลโว ประตูในสนามกีฬามีดิญ ตั้งแต่ไก่โห แต่สุดท้ายเสียงเชียร์ของแฟนบอลในสนามครั้งนั้นเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พวกเขาทำแสบใส่ทีมช้างศึก ช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย เล คอง วิน โขกประตูสำคัญในช่วงทดเจ็บช่วยให้พวกเขา คว้าแชมป์อาเซียนคัพ  เป็นสมัยแรก ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2 ต่อหน้าในสนาม 4 หมื่นชีวิต รวมถึงประชาชนคนทั้งชาติที่เป็นประเทศฉลองความสำเร็จในห้วงเวลานั้น และที่มันสะใจทวีคูณคือการคว่ำไทยนั้นเอง ขณะที่พลพรรคแข้งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเองก็เคยบุกไปอัดเวียดนามถึงสนามกีฬาแห่งชาติฮานอยมาแล้ว 2จาก 5 เกม ในอาเซียน คัพ 2007 ยุคของอาจารย์หรั่ง ชาญวิทย์ ผลชีวิน ด้วยสกอร์ 2-0 จากประตูของพิพัฒน์ ต้นกันยา และฟรีคิกของดัสกร ทองเหลา และคัดบอลโลก 2018 โซนเอเชีย ยุคของ”โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง 3-0  จาก เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, ผู้เล่นเวียดนามทำเข้าประตูตัวเอง, ธีราทร บุญมาทัน แต่ในเวลานั้นขุนพลเหงียน ยังไม่ได้แกร่งมากพอที่จะไปสร้างความอันตรายได้ และที่สำคัญรายละเอียดเกมในสนามไทยเอาชนะได้เพราะฉกฉวยความผิดพลาดจากผู้เล่นเวียดนามที่มักจะเสียสมาธิมุ่งมั่นจะเอาชนะไทยอย่างเดียว ไร้ทีมเวิร์ค  ใช้อารมณ์เล่นบอลอย่างเดียว ซึ่งจุดบอดของเวียดนามที่เป็นรองไทยในวันนี้ค่อยๆหายไป พวกเขาเล่นเป็นทีมมากขึ้น ผู้เล่นโรยราถูกโละทิ้งไปถูกทดแทนโดยแข้งวัยยังเติร์ก ค่าเฉลี่ยทีมชุดนี้อยู่ราว 24-25 ปีเท่านั้น ที่สำคัญ ปาร์ค ฮังซอ กุนซือของพวกเขาก็ปลูกฝังลูกทีมเล่นเพื่อชาติมากกว่าเกียรติยศส่วนตัว เชื่อว่าเกมในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ทั้ง 2 ชาติคงต้องห่ำหั่นกันไฟแลบ เพื่อชัยชนะสถานเดียว และจะได้ประกาศศักดาความเป็นเบอร์ 1 ในย่านอาเซียนอย่างแท้จริง ระหว่างเวียดนามคือแชมป์อาเซียน คัพทีมล่าสุด ส่วนแข้งแดนสยามคือเจ้าของแชมป์อาเซียน 5 สมัย ส่วนผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรนั้น วันอังคารนี้แฟนบอลชาวไทยและชาวขอบสนาม อย่าพลาดกันนะครับ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline