logo-heading

กว่าที่ใครสักคนจะก้าวไปประสบความสำเร็จได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านการฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนและเผลอๆต้องฝึกมากกว่าคนปกติด้วยซ้ำ เด็กคนหนึ่งจากนนทบุรี ผู้ที่ครอบครัวยากจนอาศัยอยู่ละแวกวัดบัวขวัญ พ่อมีอาชีพช่างตัดผม และแม่รับจ้างประกอบเลนส์แว่นตา ชีวิตของเขาจึงแตกต่างกว่าเด็กทั่วไป ที่เวลาร้องไห้อยากได้ของเล่นอะไรก็ได้ทันที แต่ “อุ้ม” นั้นไม่ใช่ หลายๆครั้งเขาต้องอดทนช่วยเหลืองานพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก อะไรที่ทำได้เพื่อประหยัดเงินพ่อแม่และเซฟค่าใช้จ่ายที่บ้านเขาจึงไม่รีรอที่จะทำ

ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน เลือก บรรเลงเส้นทางชีวิตของตัวเอง เขาไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขาได้เข้าไปเรียนโรงเรียนกีฬากรุงเทพฯ ในขณะที่อายุ 9 ขวบ ตอนป.3 ที่นั้นทำให้เขาประหยัดเงิน ไม่ต้องเสียค่าเทอม, เรียนฟรี โรงเรียนกีฬากทม. เป็นสถานที่บ่มเพาะฝีเท้าอุ้ม อยู่ที่นั้นเกือบ 6 ปี ภายใต้การฝึกสอนโดย”โค้ชทอม” สุรศักดิ์ ใจมั่น ก่อนที่เขาจะต้องหลุมรักฟุตบอลและค้นพบไอดอลตัวเอง คือแอชลี่ย์ โคล ที่ห้วงเวลานั้นค้าแข้งกับอาร์เซน่อล อันที่จริงเขามีชื่อเสียงไม่ค่อยดี เรื่องความก้าวร้าว หรือความเกเร ที่ชอบแถมคู่แข่งในสนาม ยามลงแข่งบอลนักเรียน แต่ด้วยฝีเท้าที่ใครต่อใครยอมรับ สุดท้าย เมื่อจบม.3 อัสสัมชัญ ธนบุรี จึงดึงตัวไปร่วมทีมในช่วงม.ปลาย ที่นั้นเอง เขาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์บอลขาสั้นหลายรายการ พร้อมๆกับเพื่อนอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เมื่อจบม.6 เด็กอัสสัมฯธน จึงถูกส่งตัวไปเล่นให้สโมสรราชประชา เขาได้เงินก้อนแรก 18,000 บาท แน่นอนละว่าเขาให้ครอบครัวหมดเลย จากนั้น 1 ปีต่อมา ธีราทร ถูกดึงตัวเข้าสู่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ลงแข่งไทยลีกในยุคของ”น้าเหม่ง” ประพล พงษ์พานิช เป็นกุนซือ แม้ทีมชุดนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อย ธีราทร ก็ได้สัมผัสเพลงแข้งลีกสูงสุดในปี 2009 กระทั่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อ เนวิน ชิดชอบ มาเทกโอเวอร์สิทธิ์การทำทีมของไฟฟ้าไป ก่อนที่ไทยลีก 2010 จะเริ่มขึ้น นักบอลกฟภ. บางส่วนรวมถึงตัว ธีราทร จึงได้ไปร่วมทีมใหม่ในชื่อบุรีรัมย์ พีอีเอ “อุ้ม” ปักหลักยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างเหนียวแน่น ยากที่ใครจะมาช่วงชิงไปได้ เขาซ้อมหนักกว่าใครๆภายในทีม ซ้อมตามโปรแกรมและนอกโปรแกรม ไม่ได้ขยัน แต่ในหัวของเขาคิดมีแค่ว่าอยากเก่ง ต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ปี 2011 เขาประสบความสำเร็จ กวาดแชมป์เมเจอร์ในประเทศไทย 3 รายการ ไทยลีก, ลีก คัพ และเอฟเอ คัพ แต่ในห้วงเวลาเดียวกันเขาก็กลายเป็นที่โจทย์จันโดนแฟนบอล, ผู้สื่อข่าวตำหนิรุนแรง โดนด่าหนักหลังโดนใบแดง 2 ใบติดต่อกัน ภายในเวลา 48 ชั่วโมง ที่ลงเล่นให้กับทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก กับ ซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 และ ฟุตบอล ซีเกมส์ 2011 รอบแรก กับ อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2011 เรียกว่าชีวิตเสียศูนย์ไปพอสมควร หลังจากนั้นเขากลายเป็นคนที่แฟนบอลคู่แข่งมักหาจังหวะด่าท่อ “เชี่ยอุ้ม” ในทุกสนามที่ลงเล่นในสีเสื้อบุรีรัมย์ ทว่าเขาไม่ได้สนใจ แต่กลับนำสิ่งที่โดนด่า เปลี่ยนมาเป็นพลังตอบโต้แฟนบอลในสนามแทน ยิ่งด่ามากูยิ่งเก่งขึ้น หลังสะสมโทรฟี่แชมป์กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นห่างว่าว 20 รายการ ก็เริ่มมีความสนใจจากทีมในญี่ปุ่น ซึ่งก็คือจูบิโล่ อิวาตะ ภายใต้การคุมทีมโดยฮิโรชิ นานามิ ตำนานทีมชาติญี่ปุ่นที่คุมทีมในปี 2015 อยากได้ตัว “อุ้ม” ไปร่วมทีม แต่สภาพเวลานั้นบุรีรัมย์ มองว่านักเตะยังแกร่งไม่พอที่จะไปเบียดสู้ตัวจริงจึงไม่อนุญาติปล่อยนักเตะออกจากทีม และเลือกเก็บไว้งานในไทยลีก กระทั่งกลางปี 2016 บุรีรัมย์ ตัดสินใจปล่อย “โก๋อุ้ม” ให้ย้ายไปอยู่กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างเมืองทอง ยูไนเต็ด สนราคา 30 ล้านบาท หลังไอ้หนุ่มนนทบุรี มีความต้องการอยากกลับมาใกล้ชิดครอบครัว พร้อมกับลงเล่นพร้อมๆกับเพื่อนๆทีมชาติในรั้วกิเลนผยอง การมาเล่นให้เมืองทอง ทำให้ ธีราทร กลายเป็นเจ้าพ่อลูกตั้งแต่ เขาเป็นแบ็กซ้าย ที่อเนกประสงค์ ทั้งการออกบอลสั้นยาว หรือหุบตำแหน่งไปเล่นเป็นปีกได้ หลังอิ่มตัวกับการเล่นในไทยลีกได้แชมป์มาครบทุกรายการ ได้ลงเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 ฤดูกาล แถมในส่วนของทีมชาติก็ได้โทรฟี่มาทุกรายการทั้งเหรียญทองซีเกมส์ 2013, แชมป์อาเซียน คัพ 2016, เข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายคัดบอลโลก 2018 โซนเอเชีย เมื่อจบฤดูกาลไทยลีก 2017 เมืองทอง จึงตัดสินใจปล่อย ธีราทร ไปผจญภัยในเจลีกกับวิสเซล โกเบ พร้อมสัญญายืมตัว 1 ปี ทว่าประสบการณ์ใหม่ในแดนดินซามูไร มันสูงกว่าไทยลีกมาก ทีมดังจากจังหวัดเฮียวโงะ มีสตาร์ดังชื่อลูคัส โพโดลสกี้และอันเดรียส อิเนียสต้า อยู่ในทีม ตัวเขาเองเจอคู่แข่งที่มาช่วงชิงตำแหน่งแบ็กซ้ายอยู่อีก 2 คน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย แบบที่ “บุญจัง” จะเล่นได้ท็อปฟอร์มแบบในไทยลีกเพราะที่นี้ต้องแข็งขัน ช่วงแรกในทีมโกเบ ไอ้หนุ่มนนทบุรี เผชิญหน้ากับความยากลำบาก ความมั่นใจก่อนมาแดนนิปปอนที่เคยมีกลับหายไป เขาเบื่อหน่ายท้อแท้สิ้นหวัง และเคยบ่นกับ”โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ว่าอยากกลับบ้านไม่เอาแล้ว เขาโดนดร็อปออกจากทีมเมื่อเล่นไม่ได้ตามที่สโมสรคาดหวัง ที่จะให้มาเป็นตัวเปิดบอลทำแอสซิสต์ เขากลายเป็นแบ็กซ้ายธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษสงเลย 28 เกมเจลีก 2018 จบลงด้วยการทำไป 2 แอสซิสต์ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำในสนามมากมายหนัก ก่อนจะถูกส่งตัวกลับไปยังเมืองทอง อันที่จริง ธีราทร เตรียมตัวและเตรียมใจกลับมาฝึกซ้อมปรีซีซั่น 2019 กับเมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อสิ้นสุดภารกิจกับทีมชาติไทยในเอเชียน คัพ 2019 แต่ทว่าโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส เกิดเจอปัญหาขาดแคลนแบ็กซ้าย เรียวซึเกะ ยามานากะ เจ้าของสัมปทานตัวจริงโดนขายไปให้อูราวะ เรด ไดม่อนส์ คู่แข่งร่วมลีก ทำให้ฝ่ายประธานเทคนิคมารินอสเรียวตะ คูโรซาวะ และอังเก้ ปอสเตโคกลู กุนซือไปเห็นผลงานเก่าของ “โก๋อุ้ม” ในสีเสื้อเมืองทองและทีมชาติไทย จึงไปดึงตัวมาอุดช่องโหว่รอยรั่วตรงนี้ซะ พร้อมยูนิฟอร์มหมายเลข 5 แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ อุ้ม จะชนะใจ อังเก้ ได้ง่ายๆถึงแม้จะมีคู่แข่งแบ็กซ้ายคนเดียวภายในกะลาสีเรือคือ เรียว ทากาโน่ แถมโชคไม่ดีของ “บุญจัง” การซ้อมช่วงแรกดันมาเจ็บกล้ามเนื้อต้นขา เรียกว่าต้องพักไป 3 สัปดาห์ นั้นทำให้แผนที่มารินอส จะเซ็ตให้เขาเป็นตัวหลักต้องเปลี่ยนแปลง อุ้ม ได้ลงเล่นเกมแรกในฐานะแบ็กซ้ายตัวจริงที่พบกับคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ เกมลีกนัดที่3 แต่ฟอร์มโดยรวมไม่น่าประทับใจ กระทั่งถูกส่งลงสนามเกมเยือนโออิตะ ตรินิตะ ปรากฏว่าความไม่คุ้นชินกับระบบทีมและห่างเกมไปพอควร ส่งผลให้ “บุญจัง” สับสนในการเล่นพื้นที่ฝั่งซ้ายตัวเอง จนพลาดเสีย 2 ประตูให้ทีมดังจากคิวชู และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหายไปจากทีมตัวจริงของมารินอส 11 เกมแรกในเจลีก เขาได้ลงเล่นแค่ 3 นัดเท่านั้น ธีราทร นั้นรู้ดีว่าโอกาสในการเป็นตัวจริงในเจลีก ไม่ได้เข้ามาหาบ่อยๆ และตัวเองจะท้อไม่ได้อีกแล้ว ถ้าอยากได้สัมผัสสนาม ต้องซ้อมหนักและทำให้ดีกว่าเรียว ทากาโน่ สุดท้าย อังเก้ จึงกลับมาเปิดโอกาสให้ อุ้ม ลงเล่นอีกครั้งในเกมลีกนัดที่ 12 ที่พบกับวิสเซล โกเบ เขาได้รับคำสั่งให้เล่นแบ็กซ้าย ป้องกันเกมรุกคู่แข่ง วิ่งไล่แย่งบอลออกจากเท้าเมื่อเข้าสู่พื้นที่ตัวเอง และถ้าหากมีโอกาสให้วิ่งไปเติมเกมรุกช่วยเพื่อนในยามจำเป็น ปรากฏว่า “โก๋อุ้ม” ตอบสนองแท็คติกของโค้ชได้ตามสั่ง สิ่งที่”อุ้ม” ทำได้ดีและแตกต่างจากการเล่นให้โกเบ คือเขาลงเล่นได้แบบปราศจากความกดดัน คุณภาพผู้เล่นมารินอสไม่ได้ห่างกันมาก นั้นทำให้ ธีราทร มุ่งมุ่นและแสดงความสามารถออกมาในสนามโดยที่ไม่ต้องแคร์ใครหน้าไหนทั้งสิ้น ลำพังชีวิตในสนามที่ไปในทิศทางบวก นอกสนามเขาพบปะพูดคุยกับเพื่อนนักบอลแบบเป็นกันเอง พร้อมกับฝึกฝนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย เพื่อทำให้เข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ง่ายขึ้น เรียกว่าชีวิตไปได้สวย เขาได้รับความไว้วางใจจากโค้ชและเพื่อนร่วมทีมปักหลักเป็นตัวจริงให้ทีมกะลาสีเรือแห่งโยโกฮาม่า วิ่งขึ้นวิ่งลงทั้งเกมรุกและเกมรับอย่างเมามันส์ ก่อนที่จะมาปลดปล่อยซัลโวประตูในเกมลีกใส่กัมบะ โอซาก้า, ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า และเอฟซี โตเกียว ยิง 3ประตู และจ่ายไปอีก 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 25 นัดในเจลีก เป็นฝันเฟื่องตัวเล็กๆที่ช่วยโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์เจลีกหนที่ 4ในรอบ 15 ปีได้แบบยิ่งใหญ่ และนำธงชาติไทยไปโบกสะบัดทั่วสนามกีฬาแห่งชาติในเมืองโยโกฮาม่า ชีวิตของธีราทร สอนอะไรได้หลายๆอย่าง เขาอาจจะมีความก้าวร้าวอยู่ในตัวแต่ตลอดชีวิตเขาพุ่งชนความยากลำบากมาตลอด แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยย่อท้อคือเขาพร้อมจะเผชิญหน้าฮึดสู้กับปัญหาและเสียงด่าท้อมาตลอดตราบที่ยังมีลมหายใจ ก็หวังว่าในปีหน้า ผลพ่วงของการคว้าแชมป์เจลีก จะช่วยให้เมืองทอง ปล่อยตัว ธีราทร บุญมาทัน ไปร่วมชายคาโยโกฮาม่า เอฟมารินอส แบบถาวร เพื่อให้เขาได้ต่อเติมความฝันในการโลดแล่นในต่างแดนต่อไป

เอ็มเร่

[email protected]

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline