logo-heading

จบลงไปแล้วสำหรับเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเสมอกับ เชลซี ไปแบบจืดชืด 0-0

ซึ่งหลังจบเกมก็มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจว่าแล้ววันนี้ ขอบสนาม ของเราก็ได้เก็บตกมาฝ่กกันแล้ว ซึ่งจะมีหัวข้อไหน ประเด็นอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพของทั้ง 2 ทีม

เริ่มกันที่ฝั่งของเจ้าบ้านอย่าง "ปีศาจแดง" กันก่อนภายหลังเมื่อช่วงกลางสัปดาห์โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการบุกไปปราบ เปแอสเช 1-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่โคตรแจ่มของ อั๊กเซล ตวนเตเบ้่ ปราการหลังดาวรุ่งของทีมทำให้แฟนบอลหลายคนคาดว่าเขาจะได้รับโอกาสต่อในเกมสุดสัปดาห์นี้ รวมไปถึงเคสของ เอดินสัน คาวานี่ ที่ได้ลุ้นออกสตาร์ทเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง แต่ทว่าทาง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กลับยึดแบบแผนเดิมจากเกมที่บุกถล่ม นิวคาสเซิ่ล 1-4 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผู้เล่นแต่อย่างใด แนวรุกก็นำมาโดย บรูโน่ แฟร์นานเดส, ดาเนียล เจมนส์, ฆวน มาต้า และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ส่วน ปอล ป็อกบา ถูกดร็อปเป็นตัวสำรองต่อเนื่องเป็นเกมที่ 3 ส่วนทางฝั่ง "สิงห์บลู" ยังคงใช้ผู้เล่นแนวรุกชุดเดิมที่นำมาโดย ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ คริสเตียน พูลิซิซ ส่วนเกมรับเกมนี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปรับมาเล่นหลัง 3 คนเพื่อความหนาแน่นซึ่งประกอบไปด้วย ติอาโก้ ซิลวา, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า และ เคิร์ต ซูม่า สำหรับนายทวารเกมนี้ยังคงเป็นหน้าที่ของ เอดูอาร์ เมนดี้ ส่วน เกปา อาร์ริซาบาลาก้า หลุดออกจากทีมเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน

VAR ไม่ทำงาน

แน่นอนว่าจังหวะที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากคงหนีไม่พ้นการที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปเหนี่ยวรั้งคอของ เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า แข้งของ เชลซี ในกรอบเขตโทษประหนึ่งเป็นเมียที่นอนกอดอยู่ที่บ้านทุกคืน ซึ่งจังหวะนี้แท้จริงมันอาจไม่ต้องไปเพิ่งถึง VAR ก็ได้ เพราะมันค่อนข้างชัดเจน และโฉ่งฉางมากพอควร แต่ทว่าผู้ตัดสินในเกมนี้อย่าง มาร์ติน แอ็คกินสัน รวมไปถึงผู้ควบคุม VAR อย่าง สจ๊วด เอ็ดเวิร์ด กลับเมินเฉยไม่ได้มีการเรียกดูย้อนหลังแต่อย่างใด ทำให้จังหวะนี้ถูกปล่อยผ่านไปแบบแฟนบอลที่รับชมต่าง "งง" ไปพร้อมๆ กัน

รูปเกมที่เจ้าบ้านเหนือกว่านิดๆ

แม้สถิติหลังจบเกมจะบอกว่า เชลซี ครองบอลได้มากกว่าเจ้าบ้าน แต่ทว่ารูปเกมในสนามต้องยอมรับว่าเป็นฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เปิดหน้าบุกเข้าใส่มากกว่า ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นว่าเกมนี้ ดาบิด เด เคอา แทบไม่ต้องออกแรงเซฟลูกยากๆ เลยตลอด 90 นาที ซึ่งมันช่างต่างจาก เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารของ เชลซี ที่โชว์ผลงานงัดแรงเซฟสวยๆ ไปหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะช็อตยิงท้ายเกมของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เหมือนเขาจะถูกผู้เล่นบังอยู่แต่เขาก็ยังคงบินปัดออกไปได้อย่างงดงาม และแน่นอนเขาได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ไปครอง ส่วนรายละเอียดในเกมอื่นๆ ต้องยอมรับว่าเป็นเกมที่ชวนแฟนบอลหลับคาทีวีเป็นอย่างมากทั้งสองฝั่งต่างเล่นแบบพะวงหน้าพะวงหลัง ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่แบบเต็มสูบ ฉะนั้นแล้วผลเสมอจึงเป็นเรื่องยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก

การแก้เกมของกุนซือทั้ง 2 ฝ่าย

โดยการเริ่มขยับสำรองนั้นเป็นฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โซลชา เริ่มปรับเปลี่ยนด้วยการส่ง เอดินสัน คาวานี่ และ ปอล ป็อกบา ลงสนามไปแทนที่ของ ดาเนียล เจมส์ และ ฆวน มาต้า พรางปรับระบบขยับเอา บรูโน่ แฟร์นานเดส ออกไปเล่นเป็นตัวเริ่มเส้นทางฝั่งขวา ก่อนที่ในช่วง 7 นาทีท้ายจะเป็น เมสัน กรีนวู้ด ที่หายจากทีมไป 2 สัปดาห์ลงมาแทน สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ โดยให้เจ้าหนู "ไม้เขียว" ลงไปเล่นทางฝั่งขวา และถอย บรูโน่ แฟร์นานเดส ลงมายืนเพลย์เมคเกอร์ ตามเดิม ซึงจุดนี้แสดงให้เห็นว่า โซลชา เองก็ไม่กล้าเปิดหน้าแลกเพื่อหวัง 3 คะแนน เพราะยังเกรงแนวรุกขอทางฝั่ง เชลซี อยู่บ้าง ส่วนฝั่งของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เริ่มขยับเมื่อเข้าสู่นาทีที่ 70 ด้วยการถอด ติโม แวร์เนอร์ กับ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ออก พร้อมลง แทมมี่ อบราฮัม และ เมสัน เมาท์ ลงมาแทน แต่ก็ยังไม่ได้สร้างความแตกต่างมากเท่าไหร่ เช่นเดียวกับโควต้าสุดท้ายในช่วงนาที 80 ที่ ฮาคม ซีเย็ค ลงมาเล่น คริสเตียน พูลิซิซ ที่ก็ไม่ได้แผงฤทธิ์อะไรออกมามากมาย

เปิดซิง คาวานี่

และแล้ววันนี้ก็มาถึง เอดินสัน คาวานี่ หัวหอกป้ายแดงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้โอกาลงสนามเป็นเกมแรกให้กับสโมสร ซึ่งมันเกิดขึ้นในฐานะตัวสำรองแทนที่ของ ดาเนียล เจมส์ ในช่วงนาทีที่ 58 ซึ่งหลังจากเท้าแตะสนามหญ้ายังไม่ครบนาทีดี คาวานี่ ก็ได้มีโอกาสจบสกอร์แล้ว และมันเกือบเป็นประตูขึ้นนำให้กับทีมด้วยแต่ทว่าโดนเสาปฎิเสธไป ก่อนที่ชื่อของเขาจะเงียบหายไปตามเกมที่ค่อนข้างจืดชืด และโผล่มาอีกทีก็มีโอกาสจบสกอร์อีกครั้งแต่คราวนี้ไปติดบล็อคของเพื่อเก่าอย่าง ติอาโก้ ซิลวา บทสรุปกว่าครึ่งชั่วโมงในสนามของ คาวานี่ สำหรับเกมนัดแรกมันอาจจะยังบอกอะไรไม่ได้มากว่าเขาจะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญ และจะช่วยทีมผลิตสกอร์ได้มากขนาดไหน แต่อย่างน้อยนี้คึอกองหน้าอาชีพขนานแท้ที่ทีมได้เข้ามา บวกด้วยลูกเก๋า และประสบการณ์แบบเต็มเปี่ยม ต่อจากนี้ก็ให้เวลา และผลงานของเจ้าตัวเป็นเครื่องพิสูจน์เอาแล้วกัน

แมนยูฯ ยังคงไร้ชัยในบ้าน

ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพอสมควรสำหรับขุนพล "ปีศาจแดง" เพราะพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เปิดฉากมาพวกเขาได้มีโอกาสลงเล่นที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของตัวเองไปแล้วทั้งสิ้น 3 เกม แต่ทว่ายังไม่อาจเก็บชัยชนะได้เลยสักเกมเดียว โดยแบ่งเป็น เสมอ 1 และ แพ้ 2 นัด ยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น  ซึ่งเหตุการณ์ที่ไร้ชัยแบบนี้เกิดขึ้นครั้งล่าสุดกับเขาคือเมื่อฤดูกาล 1972-73  หรือเมื่อ 48 ปีที่แล้ว ว่าแล้วเราก็ไม่รู้ว่าสถิติจะถูกหยุด หรือดำเนินต่อไปเพราะโปรแกรมนัดหน้าพวกเขาต้องเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซน่อล ทีมที่ฟอร์มร้อนแรงไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวในสัปดาห์หน้า
logoline