logo-heading

กลายเป็นฮีโร่ของชาวอาร์เจนติน่าแบบชั่วข้ามคืนจริงๆ สำหรับ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ นายทวารที่จัดการออกแรงเซฟจุดโทษถึง 3 ครั้งพาทัพ "ฟ้า-ขาว" กรุยทางเข้ารอบชิงชนะเลิศศึกโคปา อเมริกา 2021

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาไปดูชีวิตลูกหนังของนายด่านวัย 28 ปี กันหน่อยว่ากว่าจะมายืนอยู่ในจุดนี้เขาต้องฝ่าฟัน และพบเจอกับเรื่องราวอะไรมาบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

ชีวิตเริ่มต้นสายลูกหนัง

เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ลืมตาดูโลกที่เมือง มาร์ เดล พลาต้า เมืองริมฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ประเทศอาร์เจนติน่า เขาไม่ได้เกิดขึ้นมาในครอบครัวที่สวยหรู แถมยากจนเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมีความฝันอยู่ในใจ และด้วยการเป็นคนชนิดที่เรียกได้ว่า ปากกัด ตีนถีบ ทำให้เขามองหาโอกาสทุกอย่างที่เข้ามา ก่อนที่จะไขว่คว้ามันมาได้คือการเข้าสู่อคาเดมี่ของสโมสรอินดิเพนเต้ ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี แม้จะได้เข้าสู่ทีมที่มีชื่อเสียงระดับของประเทศ แต่ชีวิตของเขาก็หาใช่ว่าจะสุขสบายมากยิ่งขึ้น มาร์ติเนซ ยังคงต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง และก้าวขึ้นไปยังระดับที่สูงกว่าเดิม  ด้วยลีลา แถมหน่วยก้านที่ดูดีหลังเข้าสู่สโมสรได้เพียงปีเศษผลงานไปเตะตาแมวมองของ อาร์เซน่อล เข้าอย่างจัง และสโมสรก็ได้ยื่นข้อเสนอให้เขาบินข้ามน้ำทะเลเพื่อมาทดสอบฝีเท้าที่ประเทศอังกฤษ สุดท้ายเขาก็ไล่ล่าความฝันได้สำเร็จ แม้จะเกิดขึ้นท่ามกลางความห่วงใยจากครอบครัวที่ไม่อยากให้เขาห่างไกลจากบ้านเกิด แต่ทว่านั้นคือก้าวที่สำคัญ เพื่ออย่างน้อยจะได้ช่วยให้ครอบครัวสุขสบาย และมีชีวิตที่ดีขึ้น

นายด่านตัวยืม

อย่างที่กล่าวไปว่า มาร์ติเนซ ได้โอกาสเข้าสู่ทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" ในช่วงปี 2010 แน่นอนว่าช่วงแรกเขาต้องต่อสู้ และเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังกับทีมชุดเยาวชนไปก่อน ซึ่งเขาก็ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ว่าแม้จะทำได้ดีขนาดไหนก็ต้องยอมรับว่า อาร์เซน่อล ในห้วงเวลานั้นพวกเขามีนายทวารรุ่นพี่อย่าง วอยเช็ค เชสนีย์ ยืนขว้างหน้าอยู่ หลังจากนั้นก็ถึงยุคของ ปีเตอร์ เช็ค, ดาบิด ออสปิน่า หรือ แบรนด์ เลโน่ ทำให้โอกาสที่จะสอดแทรกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่มันก็เลยน้อยนิดไปโดยปริยาย ฉะนั้นแล้วเมื่อโอกาสที่จะได้ลงสนามแข่งขันจริงมันน้อย ทำให้การถูกปล่อยยืมตัวจึงเป็นเรื่องที่สมควรเกิดขึ้นมากที่สุด อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด, เชฟฟิลด์ เว้นเดย์, ร็อตแธอร์แฮม ยูไนเต็ด, วูลฟ์แฮมป์ตัน, เกตาเฟ่ และ เรดดิ้ง คือรายนามสโมสรที่เขาถูกปล่อยไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในช่วงระหว่างปี 2012-2019 เรียกได้ว่ากลายเป็นนายด่านจอมพเนจรคนหนึ่งของวงการแบบที่เจ้าตัวคงไม่ค่อยยินดีมากเท่าไหร่นัก และอีกอย่างคือการถูกปล่อยยืมไปนั้นบางที่ มาร์ติเนซ ก็ไม่ได้ไปเพื่อเป็นตัวเลือกแรกแต่อย่างใด ยกตัวอย่างฤดูกาล 2015-16 กับทัพ วูลฟ์แฮมป์ตัน เขาได้ลงเล่นรวมทุกรายการเพียง 15 เกม หรือซีซั่น 2017-18 ที่ถูกปล่อยไปให้ เกตาเฟ่ ยืมตัว เขาได้โอกาสลงสนามเพียง 6 นัดเท่านั้น โดยรวมแล้วชีวิตลูกหนังของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด ต้องฝ่าฟันอะไรหลายๆ อย่างทั้งเรื่องใน และนอกสนาม แต่ทว่าทุกอย่างย่อมมีจุดเปลี่ยน และวันนั้นก็มาถึง วันที่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ รอคอยโอกาสนี้มาอย่างเนิ่นนาน สุดพลิกผัน! ไทม์ไลน์ชีวิตลูกหนังของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ

จุดพลิกผัน

จุดพลิกผันสำคัญ มาร์ติเนซ ในสีเสื้อของ อาร์เซน่อล เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายฤดูกาล 2019-20 เมื่อนายด่านมือ 1 อย่าง แบรนด์ เลโน่ ได้รับบาดเจ็บในเกมที่พบกับ ไบร์ทตัน ในช่วงเกมที่ 30 ของศึกพรีเมียร์ลีก ทำให้เจ้าตัวได้รับโอกาสก้อนโตในการพิสูจน์ฝีมือของตัวเอง แน่นอนเวลากว่า 10 ปีที่เขารอคอยมีหรือจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ง่ายๆ มาร์ติเนซ โชว์ผลงานออกมาในระดับพรีเมียม แถมโชว์ให้เห็นถึงศักยภาพที่ตอกหน้าเหล่าทีมสต๊าฟฟ์ว่าฝีมือระดับเขามันดีกว่าการต้องนั่งเป็นเพียงตัวสำรองอยู่ข้างสนาม มาร์ติเนซ ได้โอกาสลงเล่นในช่วงโค้งสุดท้ายของเกมลีกทั้งหมด 9 เกม รวมไปถึงในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศที่ทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" เอาชนะ เชลซี 2-1 นั้นคือชัยชนะที่หอมหวานสำหรับ มาร์ติเนซ มากพอสมควร เพราะนี่คือความสำเร็จแรกของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ไม่แปลกถ้าภาพหลังจบเกมในวันนั้นที่เขานั่งน้ำตาอาบทั้ง 2 แก้ม พร้อมโทรศัพท์คุยกับครอบครัวของเขาจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นโมเมนต์ที่ยอดเยี่ยมจากชายผู้นี้

สู่การเป็นมือ 1 ที่ แอสตัน วิลล่า

หลังเฉิดฉายด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้เกิดคำถามจากแคมป์ "ปืนใหญ่" ว่าระหว่าง แบรนด์ เลโน่ กับ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ พวกเขาจะเลือกใครเป็นนายทวารมือ 1 ของทีม แน่นอนตัวของนายด่านชาวอาร์เจนติน่าเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีดีเกินกว่าที่จะเป็นตัวสำรองของใคร  จนกระทั่งเกมเปิดสนามฤดูกาล 2020-21 มาร์ติเนซ ไม่มีชื่อแม้กระทั่งที่ม้านั่งสำรองของ อาร์เซน่อล ซึ่งนั้นก็หมายความว่าทีมเลือก เลโน่ ส่วน มาร์ติเนซ นั้นเขาก็ต้องเป็นฝ่ายเก็บกระเป๋าออกมาเพื่อหาความท้าทาย และโอกาสที่จะได้โชว์ฝีมือของตัว  "ทุกคนในสโมสรอยากให้ผมอยู่สู้ต่อ แต่ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายทีม ผมไม่ได้โกรธใคร ผมภูมิใจที่ได้เป็นผู้เล่นของ อาเซน่อล ผมได้รู้ว่าเกมที่พบกับ ฟูแล่ม ผมมีโอกาสเป็นตัวจริง มากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งความริงมันควรจะเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ ผมได้เป็นมือ 1 แล้ว ผมใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้" และเมื่อการย้ายทีมเกิดขึ้น มาร์ติเนซ ย้ายมาสู่อ้อมอกของ แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัวราว 20 ล้านปอนด์ ซึ่งนั้นกลายเป็นค่าตัวที่โคตรคุ้มค่าของทัพ "สิงห์ผงาด" เจ้าตัวจัดการเก็บคลีนชีตไปได้มากถึง 15 นัด เป็นรองเพียงนายด่านจาก 2 ทีมใหญ่อย่าง เอแดร์ ซอน กับ เอดูอาร์ เมนดี้ เท่านั้น และด้วยผลงานที่โคตรไฉไลแบบนี้ไม่แปลกที่ประตูทีมชาติอาร์เจนติน่าจะเปิด และผายมือต้อนรับเขาสู่การรับใช้ชาติครั้งแรก ที่สำคัญคือการได้รับโอกาสยึดเป็นมือ 1 แบบถาวร สุดพลิกผัน! ไทม์ไลน์ชีวิตลูกหนังของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ

ยึดมือ 1 ทัพ "ฟ้า-ขาว"

ย้อนกลับไปสัก 2 ปีก่อน ถ้าจะบอกว่า มาร์ติเนซ จะได้รับโอกาสติดทีมชาติสักครั้ง คงเป็นความคิดที่ฝันลมๆ แล้งๆ มาพอสมควร เพราะจากเส้นทางลูกหนัง และโอกาสที่ได้รับมันยากเหลือเกินที่จะฝันไปถึงขั้นนั้น จนกระทั่งได้โอกาสโชว์ฝีมือกับ แอสตัน วิลล่า ก็เหมือนเป็นใบเบิกทางพาให้เขาได้ร่วมทัพ "ฟ้า-ขาว" เป็นครั้งแรก โดยภารกิจของเขาคือการช่วยทีมชาติลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2 เกม ที่เสมอกับ ชิลี 1-1 และ โคลอมเบีย 2-2 ส่วนในศึกโคปา อเมริกา เจ้าตัวก็ยังคงได้รับโอกาสเฝ้าเสาต่อเนื่อง จนกระทั่งพาทีมกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปแล้วในตอนนี้ ส่วนไฮไลท์คงอยู่ที่เกมที่ดวลจุดโทษเอาชนะ โคลอมเบีย ในรอบรองชนะเลิศ การเซฟจุดโทษถึง 3 ครั้งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้แบบง่ายๆ และที่สำคัญทุกครั้งเขาเดาใจถูก และมีความมั่นใจเป็นมากๆ ในการป้องกันในแต่ละครั้ง นี่แหละครับชีวิตของนักฟุตบอลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะสวมบทฮีโร่พาชาติบ้านเกิดลุ้นซิวแชมป์ระดับทวีป  จากนักเตะส่วนเกินที่ไม่รู้อนาคตของตัวเองจะเป็นแบบไหน ก่อนที่จะใช้ความพยายาม และความอดทนในการต่อสู้ สู่ฮีโร่ของคนทั้งชาติ "เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ"

- Paolinho -

 
logoline