logo-heading

น่าจะเหลือเพียงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้นสำหรับ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือวัยเก๋าในการคัมแบ็ครับงานคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์ อีกครั้งเป็นรอบที่ 3 

ภายหลังทัพ "กังหันสีส้ม" ประสบกับความล้มเหลวในศึกยูโร 2020 ทำให้พวกเขามีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของตัวกุนซือ ก่อนที่ล่าสุดกระแสข่าวแทบจะทุกสำนักต่างรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า ฟาน กัล ที่แม้จะเคยประกาศหันหลังให้วงการไปเมื่อปี 2017 จะหวนกลับมาจับงานคุมทีมช่วยชาติอีกครั้ง ว่าแล้วสิ่งที่ ขอบสนาม ของเราอยากจะนำเสนอในวันนี้คือการวิเคราะห์ว่า เนเธอร์แลนด์ ถึงต้องไปดึงตัว ฟาน กัล กลับมาคุมทีมอีกครั้ง จะมีเหตุผลอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

ประสบการณ์

อย่างที่เรารู้กันว่าชื่อของ ฟาน กัล คือกุนซือที่หอบหิ้วประสบการณ์งานโค้ชมาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกมทีมชาติ หรือสโมสร แม้งานล่าสุดของเขาต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 2016 ที่เป็นนายใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะลงจากบัลลังก์แบบไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ แม้จะมีแชมป์เอฟเอ คัพ มาประดับบารมีได้ 1 รายการก็ตาม แต่ทว่าถ้ามองย้อนกลับไป ฟาน กัล ถือว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่ประสบความสำเร็จอยู่เรื่อยๆ ในเส้นทางสายนี้ เพราะไม่ว่าจะโยกย้ายไปคุมทัพสโมสรไหนก็มักจะพาทีมหอบหิ้วโทรฟี่แชมป์มาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, บาร์เซโลน่า, อาแซด อัลค์มาร์ หรือ บาเยิร์น มิวนิค แน่นอนถ้าจะหาใครสักคนที่พอจะมีความเก๋า และประสบการณ์เยอะมากพอในการนั่งแท่นกุนซือในตอนนี้ชื่อของ ฟาน กัล ย่อมอยู่ในลิสต์ และเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในห้วงเวลานี้ ไขสาเหตุทำไม เนเธอร์แลนด์ ถึงดึง ฟาน กัล กลับมาคุมทัพ

รู้ทุกซอกทุกมุมของทีม

อย่างที่กล่าวไปว่า ฟาน กัล เคยคุมทัพเนเธอร์แลนด์ มาแล้วด้วยกัน 2 ครั้ง คือในช่วงระหว่างปี 2000-2002 และ 2012-2014 ซึ่งนี่คือจุดที่ตอกย้ำให้เห็นว่าสมาคมฟุตบอลแดนกังหันลมค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวของนายใหญ่คนนี้พอสมควร แม้ในตอนนั้นจะไม่อาจพาทีมประสบความสำเร็จในเรื่องของถ้วยแชมป์เลยก็ตาม ซึ่งจากการได้โอกาสคุมทัพถึง 2 ครั้ง มันน่าจะมากพอที่จะทำให้ ฟาน กัล รู้ตื้นลึกหนาบางของทีมชาตินี้เป็นอย่างดี และรู้ว่าจุดประสงค์ของทีมคืออะไร อีกทั้งปัจจุบันทีมเองก็มีนักเตะดาวรุ่งหลายคนที่พร้อมให้ ฟาน กัล ขัดเกลาให้เติบโตขึ้นมาเป็นสตาร์เฉิดฉาย ฉะนั้นแล้วเมื่อทีมได้คนที่รู้ทุกอย่างมาคุมบังเหียนมันน่าจะทำให้การทำงานในด้านมุมต่างๆ ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการประสานงานกับทีมงานสต๊าฟฟ์ที่จากข่าวระบุว่าเจ้าตัวเลือกใช้ แดนนี่ บลินด์ กับ เฮงค์ เฟรเซอร์ มาเป็นผู้ช่วย มันน่าจะเป็นการระดมสมองที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย เพราะมุมมองในแต่ละคน รวมไปถึงมันสมองในเรื่องการคุมทีมมันการันตีได้ในระดับหนึ่งแล้ว

ผลงานกับทัพ "อัศวินสีส้ม"

แม้ผลงานกับเนเธอร์แลนด์ 2 ครั้งแรกอาจจะไม่ถูกใจในเรื่องของความสำเร็จ แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของสไตล์การเล่น และผลการแข่งขันที่ออกมาต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่มันออกมาในรูปแบบที่น่าพอใจ และ ฟาน กัล เองสามารถดึงศักยภาพของนักเตะออกมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม จากสถิติการคุมทัพในรอบแรก ฟาน กัล มีเปอร์เซ็นต์ชนะมากถึง 60% จากการคว้าชัยชนะ 9 จาก 15 นัดที่คุมทัพ ส่วนครั้งที่ 2 มีตัวเลขที่ดีกว่าเดิมที่จำนวน 62.07% จากการคุมทีม 29 นัด และพ่ายแพ้เพียง 2 นัดเท่านั้น แถมพาทีมไปได้ไกลถึงการคว้าอันดับ 3 ในศึกฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งถือว่าดีที่สุดของเจ้าตัวในการเป็นนายใหญ่ทัพ "อัศวินสีส้ม" จากตัวเลขที่กล่าวมาถือว่ายอดเยี่ยมไม่ใช่น้อย และมันก็เป็นเหตุผลมากพอว่าทำไม ฟาน กัล ถึงถูกทาบทามให้กลับมาคุมทัพอีกครั้ง เพราะด้วยแนวทางของเขามันค่อนข้างพาทีมก้าวไปข้างหน้าแบบเห็นได้ชัด และสามารถลุ้นได้แน่ๆ ว่าทีมอาจจะประสบความสำเร็จสักทีหลังรอคอยมาเนิ่นนานนับตั้งคว้าแชมป์ยูโรเมื่อปี 1988 ไขสาเหตุทำไม เนเธอร์แลนด์ ถึงดึง ฟาน กัล กลับมาคุมทัพ

ความสำเร็จแบบเร่งรัด

สืบเนื่องจากที่ทิ้งท้ายเมื่อสักครู่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ห่างหายจากความสำเร็จมาอย่างยาวนานกว่า 33 ปีแล้ว และเมื่อมองย้อนกลับไปที่พวกเขาถือว่าเป็นชาติใหญ่ที่อุดมไปด้วยแข้งสตาร์หลายคน ฉะนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องที่ควรหมางเมินอีกแล้วกับความสำเร็จที่ควรจะได้รับมาเชยชมเสียที และถ้าสอดสายตามองหาใครสักคนที่พอจะมีคู่มือความสำเร็จ บวกกับมากประสบการณ์พอคุมเด็กๆ ชื่อของ ฟาน กัล จึงน่าสนใจขึ้นมาทันที และยิ่งกับศึกฟุตบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2022 มันเลยเป็นโอกาสอันดีที่ ฟาน กัล จะได้พอมีเวลาเรียนรู้กับนักเตะในชุดปัจจุบันมากพอ และรีดศักยภาพให้ออกมามากที่สุดเพื่อโทรฟี่แชมป์ และความสำเร็จที่โหยหามานานถึง 3 ทศวรรษ

- Paolinho -

logoline