logo-heading

ถ้าหากปราศจาก 2 พี่น้องกัลลาเกอร์ จากเมืองแมนเชสเตอร์ โนลและเลียม แห่ง Oasis วงการดนตรีในยุค 90 คงเงียบเหงา และบางทีคนฟังเพลงอาจจะไม่ได้เข้าถึงแนวดนตรีที่เรียกว่าบริทป็อป จากฝั่งอังกฤษที่สามารถเข้าไปตีตลาดเพลงในอเมริกาก็เป็นได้ เพราะในห้วงเวลานั้นรอยต่อแนวเพลงอัลเตอร์เนทีฟ กรั๊นจ์ มาสู่นู-เมทัล ที่กำลังครองโลก ด้วยความบ้าบิ่นพฤติกรรมที่โคตรห่ามยากที่ใครจะไปลอกเลียนแบบได้ แต่งานเพลงที่มันยอดเยี่ยมจาก 2 อัลบั้มชุดแรก คือ definitely maybe ในปี 1994 และ (What's the Story) Morning Glory? เพลงฮิตเต็มชาร์ตทั้งในรูปแบบซิงเกิ้ลและไม่ใช่เพลงโปรโมตทำให้วงเติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถทัวร์รอบโลกได้ ทั้งที่ความฝันของทั้งคู่คือการเป็นศิลปินที่มีเพลงเท่ห์ๆเพื่อเป็นตัวแทนกระบอกเสียงของกลุ่มคนชนชั้นแรงงานเท่านั้น

เคยดู Oasis Supersonic เมื่อ 3-4 ปีก่อนและกลับมาดูอีกครั้ง ความรู้สึกคือแม่งดุเดือดสะใจมากๆ และอยากเอ่ยถึงเรื่องราวดีๆอีกครั้ง เพราะผมยังมีความรู้สึกว่ามีคนรู้จักเพลงของเลียม และโนล แค่เพลงฮิต Wonderwall, Don't look back in anger โทษฐานที่มันเป็นเพลงโทนซึ้งที่ผับบาร์เกรดหรูและเกรดบ้านๆชอบเปิดกันประจำ ผมชอบการนำเสนอของ ผู้กำกับแมตต์ ไวท์ครอส ที่พยายามกลั่นกรองเรื่องราวให้เห็นว่า โนลและเลียม มีตัวต้นที่แท้จริงอย่างไร ผ่านการสัมภาษณ์จากทั้งคู่, สมาชิกในวง และ คนใกล้ชิดทั้งในครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน หนังจึงเล่าประเด็นช่วงเวลาสั้นๆ ราว 3 ปีแรกของช่วงเวลาการก่อตั้งวง Oasis (ประมาณปี 1993-1996) รุ่งสุดขีดจากคนบ้านๆกลายเป็นราชามีชีวิตหรูหรา พวกเขาเริ่มต้นเดินหน้าอยากทำเพลงออกตระเวณทัวร์ มีแรงผลักดันอะไรในการสู้เพื่อการทำเพลง ซึ่งว่ากันว่าในเวลานั้นพี่น้องคู่นี้พี้ยาและอนาคตดูเหมือนจะมืดมนด้วยซ้ำ ซึ่งระหว่างทางก่อนจะได้ทำเพลงแรก Supersonic ชื่อเดียวกับหนัง วงนี่เจออุปสรรคเยอะมาก ผมชอบที่เราได้เห็นภาพฟุตเทจหายากๆบ้างตัวที่แม้แต่พี่น้องกัลลาเกอร์ ยังไม่รู้ตัวเลยว่า กูไปทำพฤติกรรมระยำที่ไหนบ้าง แล้วโดนบันทึกภาพเอาไว้และถูกใส่ไว้ในหนังสารคดีชุดนี้ มันมีแง่มุมบางประเด็นที่น่าค้นหา แม้ว่าจะเก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำตัวบ้าบอมากแค่ไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโนล และเลียม เกิดมาเพื่อการเป็นนักดนตรีจริงๆ คนพี่คือคนกำหนดทิศทางเพลงตั้งแต่การเขียนเนื้อร้อง, เมโลดี้กีตาร์ เรียบเรียงงานในห้องอัด ส่วนน้องชายตัวแสบคือคนที่เกิดมาเพื่อร้องเพลง แม้ว่าจะเกรียนแค่ไหน แต่มี 2 เรื่องที่เขาพร้อมใจกันสามัคคีคือการปกป้องดูแลแม่บังเกิดเกล้า เพ็กกี้ และ เชียร์บอลทีมในดวงใจแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเราจะได้เห็นประเด็นนี้ในตัวหนังเช่นกัน ช่วงท้ายของสารคดีชุดนี้เพลงของโอเอซิสที่ผมชอบและมันก็ถูกบรรเลงไว้ Champagne Supernova ที่มีความยาว 7 นาที มันเป็นเพลงที่ไม่มีอะไรเลย โนลเขียนตอนเมายา แต่กลับเป็นเพลงที่เลียม และโนล เอาไปใช้หากินในแทบทุกโชว์จวบจนปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากใครมาดูคุณก็จะได้เสพย์เพลงทั้งฮิตและไม่ฮิตไปด้วยนะจ๊ะ สรุป : นี่คือหนังที่หยิบยกฟุตเทจช่วงเวลาที่ดีสุดของ Oasis ได้สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่ช่วงล้มลุกคลุกคลานจนไปสู่การเป็นร็อคสตาร์ชื่อก้องโลกภายในเวลาอันรวดเร็วจนได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่ oasis knebworth ที่มีคนดูเตะหลัก2แสนคน รู้สึกมีความสุขมากที่ได้ดูสารคดีเรื่องนี้ในทุกๆครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแฟนเพลง Oasis แบบบ้าคลั่งแต่มันก็หล่อเลี้ยงความสุขในวัยเยาว์ให้กลับมาอีกครั้ง แจกคะแนนรีวิว 9/10 สำหรับใครที่ต้องการดูต้องสั่งแผ่นดีวีดีจากร้าน Lidodvd Lido ที่ลิโด คอนเน็กส์ ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายแผ่นลิขสิทธิ์หนังเรื่องนี้
logoline