logo-heading

Lone Survivor คือผลงานเรื่องจริงขึ้นจอของเหล่าทหารอเมริกันผู้กล้าหาญ 4 นาย ที่สละชีวิตเพื่อสังหารผู้นำตาลีบันในอัฟกานิสถาน แม้เราจะเคยได้เห็นเรื่องราวแบบนี้มาขึ้นจออยู่บ่อยครั้ง แต่รับรองได้ว่า ครั้งนี้จะไม่เหมือนทุกครั้งที่คุณเคยผ่านตามาอย่างแน่นอน

ปีเตอร์ เบิร์ก ผู้กำกับที่ทำหนังเกี่ยวกับวีรกรรมความกล้าหาญมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง The Kingdom และ Battleship สามารถพิสูจน์ให้เราได้เห็นว่า เขายังคงทำหนังที่ผสมผสานทั้งความจริงจังในโลกแห่งความเป็นจริง และเรื่องราวในสไตล์อีโมชั่นแนลเข้าถึงอารมณ์ตัวละครไปในเวลาเดียวกันได้อย่างยอดเยี่ยม และเรื่องนี้สอบผ่านตรงที่เมื่อทุกอย่างมารวมเป็นเนื้อเดียวกัน มันสามารถทำให้เราได้อารมณ์ในการดูหนังสงครามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แทนที่จะเน้นเรื่องการสู้รบแบบผ่านมาผ่านไป เบิร์กเจาะลึกเข้าถึงห้วงอารมณ์ต่างๆ และสะท้อนออกมาให้ผู้ชมได้ซึมซับในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างน่าประทับใจ กลายเป็นความบันเทิงชั้นยอดที่เป็นมากกว่าหนังสงครามในท้องตลาด หนังโดดเด่นในเรื่องของการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ด้วยการนำเสนอออกมาได้อย่างสมจริงจนน่าขนลุก เบิร์กสร้างสรรค์ทุกองค์ประกอบออกมาได้อย่างสมจริงเหนือคำบรรยาย ไม่ว่าจะเป็นฉากการสู้รบกับเหล่าตาลีบันในป่าเขา ที่ชุลมุนชุลเกเอาเรื่อง แต่ก็ไม่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับคนดู อีกทั้งยังทำให้เราเสมือนเข้าไปร่วมรบกับเหล่าตัวละครในเรื่องด้วย หรือจะเป็นฉากชวนหวาดเสียว หดหู่ กดดัน ในช่วงที่เหล่าทหารกล้าต้องพากันเจ็บเนื้อเจ็บตัว (ที่ยัดกันเข้ามาแบบไม่บันยะบันยัง) หนังก็สามารถเคาะเอาความรู้สึกเจ็บปวดดังกล่าว ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพและการเคลื่อนไหว ออกมาในมุมมองไม่เคยมีหนังสงครามเรื่องไหนทำได้ขนาดนี้มาก่อน (ช่วงฉากกลิ้งตกผาเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดเท่าที่เคยดูหนังสงครามมาเลยทีเดียว หากคุณไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเจอฉากนี้มาก่อน จะเรียลจนจิกเบาะมากขณะนั่งชม) Lone Survivor ไม่ได้มาพร้อมบทที่เหนือชั้นในระดับที่จะต้องเข้าไปเป็นตัวเก็งรางวัลทั้งหลาย แต่บทที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้ ก็ทำให้ผู้ชมนั่งติดจอรอติดตามกันได้อย่างตลอด ตั้งแต่ต้นจนจบ หนังมีประเด็นในการเชิดชูวีรกรรมทหารกล้าทั้งหลายก็จริง แต่ก็ไม่อวยกันในระดับที่ทำให้ดูเพ้อฝันและเหนือความเป็นจริง เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หนังก็ยังนำเสนอแง่มุมอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องของมิตรภาพ, เพื่อนมนุษย์ออกมาให้เห็น และตัวเอกของเรื่องจริงๆก็หาใช่เพียงแค่ทหารมะกันไม่ ประเด็นสุดท้ายที่หนังนำเสนอนั้นก็ยกย่องเพื่อนร่วมโลกที่เข้ามาทำให้เรื่องราวจบด้วยการไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกหรือเอาตนเองเป็นใหญ่ได้ค่อนข้างดี และทำให้เรื่องราวจบลงได้อย่างที่ควรจะเป็นด้วย ด้านนักแสดง ทรงพลังยกทีม เอริก บาน่า ออกมาไม่กี่ฉาก แต่ก็ทำให้เราเชื่อถือในตัวละครของเขาได้ และมีพลังอำนาจแบบสัมผัสได้ โดดเด่นสุดก็คือการแสดงของมาร์ค วอลเบิร์ก ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ (หลังจากเพิ่งประทับใจสุดๆไปกับ Pain And Gain ที่ทำให้เรารู้ว่าผู้ชายคนนี้มีของอีกเยอะ) เขาสามารถสร้างสรรค์ตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงออกมาในแบบที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการเป็นทหารผู้เสียสละได้อย่างแท้จริง เขาสามารถเคาะเอามิติทางตัวละครที่มีทั้งความกล้า, ความกลัว, ความเชื่อมั่น, ความอ่อนแอ ออกมาให้เราได้เห็น ผ่านสีหน้า, แววตาและคำพูดแบบหลากหลายในแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นเขาแสดงออกมาในทำนองนี้เท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าแค่ฉากท้ายเรื่องก็ทำให้เราเห็น "ของ" อะไรบางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจนแล้ว เสียดายที่บทยังส่งให้เขาพีคไม่เพียงพอ แต่เท่านี้ก็จัดเต็มมากกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้แล้ว นักแสดงร่วมในหนังทั้ง เบน ฟอสเตอร์, เทย์เลอร์ คิทช์, เอมิล เฮิร์ช, อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก ก็ออกมาพร้อมช่วงเวลาที่เฉลี่ยและมีความสำคัญเท่าๆกัน ต่างก็ไม่มีใครขโมยซีนใคร และสำแดงพลังในหารสวมวิญญาณเป็นทหารกล้าผู้มีตัวตนจริงๆออกมาได้อย่างธรรมชาติ เรียบง่ายและดุดัน ในแบบที่แตกต่างกันไป แต่ข้อเสียก็คือ เขาเหล่านี้ไม่ได้มีเวลาออกจอนานเท่าที่เราจะได้เห็นการปล่อยของอะไรออกมามากอย่างที่ควรจะเป็นซะทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นการแคสติ้งที่สอบผ่านได้อย่างยอดเยี่ยมของทีมงาน เพราะตัวจริงเจ้าของแคแรกเตอร์กับนักแสดงเหล่านี้ ก็มีรูปพรรณสัณฐานที่ค่อนข้างมาในโทนเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด นักแสดงดีก็มีส่วนทำให้หนังออกมาดูแข็งแรง หนังเรื่องนี้สอบผ่านในจุดนี้ไปอย่างสวยงาม หากจะเปรียบเทียบกับงานสงครามในยุคหลังๆแนวเดียวๆกัน Lone Survivor เป็นงานที่ออกมามีความต่างในตัวพอสมควร เร้าอารมณ์คนดูด้วยเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า ไม่เน้นประเด็นการเมือง สาดคนดูเข้าเต็มๆด้วยการเป็นหนังแอ็คชั่นขายสถานการณ์เอาตัวรอดของเหล่าทหารตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้หนังเรื่องนี้ดูจะบันเทิงที่สุดหากคุณอยากดูหนังทหารที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์คุณแบบเต็มที่ สมจริงในแบบที่ว่าแทบอยากจะไปหาเบื้องหลังดูเดี๋ยวนั้นเลยว่าเขาถ่ายทำกันอย่างไร เป็นหนังสงครามในยุคหลังๆ ที่น่าจะเป็นงานศึกษาในเรื่องของโปรดักชั่นได้เป็นอย่างดี หนึ่งโปรแกรมคุณภาพรับต้นปีที่คอหนังแอ็คชั่นเน้นความมันส์ ระทึก ชวนหวาดเสียว หดหู่ กดดัน และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทางการแสดง ที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง สรุป ผมชอบการตีความของปีเตอร์ เบิร์ก ทำได้อย่างสมจริง อุทิศแด่ความเสียสละเพื่อชาติของเหล่าทหารหาญทั้งหมดในปฎิบัติการ ดูแล้วขนลุกมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยความดุดัน เข้มข้น เรียลลิสติก สัมผัสได้ถึงห้วงพลังแห่งจิตวิญญาณของสาระเนื้อหาที่สอดแทรกเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกว่าน่าจะเป็นงานที่เขาได้รับคำชมอย่างล้นหลาม และหนังไม่ขาดทุนเหมือนเรื่องอื่นๆ  
logoline