คงเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่หลายคนเฝ้ารอ หลังจากที่เลื่อนฉายกันเป็นว่าเล่น หรือจะเป็นพิษของโควิดที่ทำให้มันแทบจะไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ภาพยนตร์ภาคต่อที่ใครหลายคนเฝ้ารอ ได้เข้าฉายสักที กับ Wonder Woman 1984
.
ภาคต่อคราวนี้ เป็นการเล่าเรื่องต่อจากภาคแรกเลย แต่เอาจริงๆคุณไม่ต้องดูภาคแรกมา ก็น่าจะพอรู้เรื่องอยู่ แต่ถ้าอยากให้อินมากที่สุด ก็คงแนะนำให้ดูภาคแรกมาก่อน เพราะตัวเรื่องเน้นเรื่องความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครพอสมควร หนังพยายามจะปรับเปลี่ยนมุมมองให้มีความแปลกใหม่ ฮีโร่หญิงแข็งแกร่ง ใช้ความสามารถที่มีปราบวายร้ายจากภาคแรก มาเป็นผู้หญิงธรรมดา มีความรู้สึกนึกคิดแบบผู้คนทั่วไป ยึดถือว่าถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญ มีความกลัวในจิตใจ อ่อนแอ โดยที่หนังสื่อให้เห็นถึงโลกมนุษย์ชีวิตผู้คนที่พยายามอยากได้รับการยอมรับไม่พอใจในสิ่งที่มี โลภ สร้างภาพ อยากให้คนอื่นมายอมรับ แต่ไม่ Respect ตัวเอง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน ถ้าเกิดความไม่รู้จักพอ มันก็ทำให้ทุกพื้นที่หายนะโดยไม่ต้องทำสงครามรบราฆ่าฟัน
.
ความดีงามของ Wonder Woman 1984 ก็คงเป็นทีมการเล่าเรื่องที่ใช้ความเป็นยุค 1984 ได้อย่างเต็มที หากใครคิดถึงอะไรหลายๆอย่างในยุคนั้น น่าจะอินได้ไม่ยาก
.
ในฝั่งของฉากแอคชั่น ยังสามารถโดดเด่นและดีงาม แม้บางฉากจะรู้สึกขาดๆเกินไปบ้าง แต่ก็ถือว่าให้อภัยได้ แถมได้ ซาวด์ประกอบของ Hans Zimmer มาช่วยบิ้วอัพทำให้เราไม่กล้าละสายตาได้เลย
.
ในฝั่งนักแสดง หากคุณชอบ Gal Gadot และ Chris Pine จากภาคที่แล้วอย่างไร ภาคนี้คุณก็จะชอบแบบนั้นแหละ เผลอๆอาจรักมากกว่าเดิม เพราะมันทำได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่คนที่โดดเด่นมากก็คงหนีไม่พ้น Pedro Pascal ที่สามารถแสดงความเป็นตัวร้ายแบบที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนชอบ Donald Trump อยู่แล้ว คุณจะชอบตัวละครตัวนี้มากกก
.
หนังเต็มไปด้วยข้อความต่างๆที่จะบอกคนดูเยอะมากๆ ผมรู้สึกได้อะไรจากเรื่องนี้และรู้สึกมันฮีลเราได้ดีมากๆ หลังดูจบ
.
ในสิ่งที่รู้สึกไม่โอเค ก็คงเป็นการบิ้วอัพของหนัง ที่ทำได้ไม่ดีมากพอ และรู้สึกทำการจบลงมิชชั่นต่างๆได้ไม่สมราคาคุยไว้เท่าที่ควร
สรุป
.
Wonder Woman 1984 มันเป็นหนังที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ต้องการหนังฮีโร่มันส์ๆ แต่มันเป็นหนังฮีโร่ที่จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอิ่มหัวใจและรู้สึกว่ามันกลมกล่อมกำลังดี แง่คิดที่ได้จากหนังมันดีมากๆจริงๆนะ ผมชอบตรงนี้มากๆ
8.5/10
