logo-heading

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาใครๆ ก็ต้องรู้จักกันทั้งนั้น แต่หากย้อนกลับไปสัก 18 ปีที่แล้ว ก่อนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะคว้าตัวเขามาร่วมทีม เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้จัก ฉะนั้นวันนี้ ขอบสนามเรื่องเฟี้ยวเลี้ยวมาเล่า ขอนำเสนอเรื่องราวชีวิตการค้าแข้งของ "ซีอาร์ 7" ก่อนที่จะมีชื่อเสียงจนกลายมาเป็นยอดดาวยิงเหมือนเช่นทุกวันนี้ ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยดีกว่า

ย้อนกลับไปในปี 2001 ตอนนั้น สปอร์ติ้ง ชุดสำรอง หรือเรียกง่ายๆ ก็คือ สปอร์ติ้ง ชุด B อยู่ในดิวิชั่น 3 ของโปรตุเกส สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้นอย่างมาก ซึ่งปัญหาใหญ่ส่วนนึงก็มาจากการที่ นักเตะในทีมชุดใหญ่ถูกส่งลงมาเรียกความฟิต ทั้งที่ไม่ได้ฝึกซ้อมกับชุดสำรองเลย แถมก็ไม่ได้ตั้งใจเล่นเต็มที่ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้ผลการแข่งขันออกมาไม่ดี และ โรนัลโด้ ก็อยู่ในทีมสำรองชุดนั้นที่นั่งรอโอกาสลงเล่น หลุยส์ อัลเลเกรีย กุนซือชุดสำรองของ สปอร์ติ้ง ในเวลานั้น ได้ให้สัมภาษณ์เล่าถึงเรื่องนี้ว่า "คุณอาจจะเคยเห็นแต่นักเตะชุดสำรอง ก้าวขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่ แต่ในทางตรงกันข้ามคุณไม่เคยสนใจมัน ในตอนนั้น ทีมสำรองมักจะถูกใช้เป็นที่ลองสนามเรียกความฟิตของนักเตะชุดใหญ่ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งมันส่งผลต่อเด็กๆ ชุดสำรองนะ เพราะพวกเขาจะโดนแย่งเวลาในการลงสนาม และพวกเขาก็จะเห็นว่ามีนักเตะที่ไม่เคยฝึกซ้อมกับทีมเลยสักนิด แต่อยู่ๆ ก็มีชื่อลงเล่นเป็นตัวจริงซะงั้น มันแย่มากนะ" แต่สุดท้ายแม้จะถูกนักเตะจากทีมชุดใหญ่บดบังและเบียดตำแหน่งในการลงเล่น แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 17 ปี ก็สามารถฉายแววเจ๋งออกมาได้ จนถูกเรียกไปติดทีมชุดใหญ่บ้างในฤดูกาล 2001/02 ทว่าดีสุดก็ทำได้แค่มีชื่อเป็นตัวสำรอง จบฤดูกาลนั้น ลิสบอน คว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสมาครองได้สำเร็จ แต่ "ซีอาร์ 7" ไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว อย่างไรก็ตามในชุดสำรอง โรนัลโด้ ก็ทำผลงานได้ดี และมีส่วนช่วยให้ทีมชุด B รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ หลังจบฤดูกาล 2001/02 ในช่วงปรี-ซีซั่นของทีมสำรองเจ้าตัวก็ได้ลงเล่นไป 4 เกมด้วยกัน โดยเป็นการพบกับ อคาเดมิก้า, ทีมชาติโรมาเนียชุดสำรอง, เดปอร์ติโบ ลาคอรุนญ่า และ อัลเวอร์ก้า ซึ่งเจ้าหนูโด้ ก็ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จน ลาสซโล่ โบโรนี่ กุนซือชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง ในเวลานั้น ตัดสินใจแจ้งทีมสำรองว่าปีนี้จะเอา โรนัลโด้ ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัว! ซึ่งจริงๆ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นข่าวดีที่ โรนัลโด้ ควรจะกรี๊ดลั่นบ้านดีใจเพราะได้ติดทีมชุดใหญ่แบบถาวร ทว่ามันไม่ใช่เลย เนื่องจากตอนนั้นทีมชุดสำรอง กำลังไปได้สวยในทัวร์นาเม้นท์ชิงถ้วยเล็กๆ และกำลังจะก้าวเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ แต่การที่โดนเรียกติดทีมชุดใหญ่ถาวร นั่นทำให้ โรนัลโด้ หมดสิทธิ์ที่จะลงช่วยทีมสำรอง เพราะต้องไปเก็บตัวกับทีมชุดใหญ่แทน และนั่นทำให้ คริสเตียโน่ หัวเสียสุดๆ หลุยส์ มาร์ติน อดีตผู้ประสานงานด้านเทคนิคของ สปอร์ิติ้ง ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า "ด้วยความสัตย์จริง โรนัลโด้ ไม่พอใจมากๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาต้องการลงเล่นในนัดชิงกับทีมสำรอง เขามีความกระหายในตัว เขาได้รับข่าวที่ใหญ่ที่สุดในอาชีพค้าแข้ง นั่นคือการติดทีมชุดใหญ่แบบถาวร แต่เขากลับเซ็งเพราะอดลงเล่นในเกมนัดสุดท้ายกับทีมสำรอง" และในการเตรียมทีมปรี-ซีซั่นของชุดใหญ่ โรนัลโด้ ถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมที่เสมอกับ โอลิมปิก ลียง ไป 1-1 ประตู ซึ่ง โรนัลโด้ ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นแพรวพราว จนถูกจับตามอง และถูกพูดถึงว่าไอหนูเบอร์ 28 ที่มาใหม่นี้มันคือใครกัน ซึ่งมีเรื่องที่น่าขำกว่านั้นคือ หลังจบเกม สปอร์ติ้ง ได้คุยกับ ลียง ถึงความเป็นไปได้ในการขอซื้อตัว โทนี่ ไวเรลเลส ซึ่งในดีลนั้นมีพ่วงแถม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้าไปด้วย แต่ ลียง ปฏิเสธ!! "โบโรนี่ ต้องการดึงตัวผมไปร่วมทีม แต่ สปอร์ติ้ง มีไม่มีเงินพอ พวกเขาเลยเสนอนักเตะ 2 คนให้ ลียง เพื่อแลกกับผม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ ลียง ปฏิเสธมัน น่าตลกสิ้นดี!" ไวเรลเลส อดีตหัวหอกชาวฝรั่งเศส ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จากนั้น โรนัลโด้ ก็ถูกส่งลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องที่เสมอกับ เปแอสเช ไป 2-2 ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าหนูหัวหยอยทำไฮไลท์สีทอง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แฟนบอลได้ และหลังจบเกมสื่อก็เริ่มสนใจในตัวเขามากขึ้น และได้จ่อไมค์สัมภาษณ์ถามถึงความรู้สึกของเจ้าตัวด้วย ซึ่ง โรนัลโด้ ได้ตอบกลับสั้นๆ แบบโคตรเท่ว่า "แฟนๆ ยังไม่ได้เห็น โรนัลโด้ ตัวจริง นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น" เท่านั้นไม่พอในเกมอุ่นเครื่องนัดถัดมาที่เจอกับ เรอัล เบติส คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถูกส่งลงเล่นมาเป็นตัวสำรอง และกลายเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยท้ายเกม ช่วยให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ชนะ เบติส ไป 3-2 ประตู แถมมันไม่ใช่การยิงธรรมดาๆ ด้วยเพราะเป็นการแตะหลบกระชากหนีกองหลัง ก่อนจะบรรจงชิพบอลข้ามหัวผู้รักษาประตูเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสุดสวย เรียกได้ว่าใจนิ่งเกินเด็กอายุ 17 ย่าง 18 ไปมาก หลังจากทำผลงานได้ดีในช่วงปรี-ซีซั่น โรนัลโด้ ก็ได้ลงเล่นเปิดซิงทีมขุดใหญ่ในเกมอย่างเป็นทางการจนได้ โดยเป็นการลงเล่นเป็นตัวสำรองแทนที่ โตนิโต้ ในครึ่งหลังของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อินเตอร์ มิลาน ในวันที่ 14 สิงหาคม 2002 จากนั้น "ซีอาร์ 7" ก็ได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของโปรตุเกสเป็นครั้งแรกในวันที่ 7 ตุลาคม 2002 ซึ่ง พี่โด้ จัดการกดไป 2 ประตู ช่วยให้ ลิสบอน ถล่ม โมไรเรนเซ่ ไป 3-0 พูลสวัสดิ์ และได้รับการยกย่องว่านี่แหละคือ ดาวดวงใหม่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ต่อจาก ริคาร์โด้ กวาเรสม่า ในตอนนั้นชีวิตของ โรนัลโด้ เริ่มเปลี่ยนไปจากดาวรุ่งหน้าสิวที่ไม่มีใครสนใจ สื่อก็เริ่มมาตามติดชีวิต เริ่มถูกจ่อไมค์สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้ง ได้ลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์ มีสกู๊ปเขียนถึง และหนักสุดก็ถึงขั้นตามไปสัมภาษณ์ครอบครัวกันเลยทีเดียว แต่ โรนัลโด้ ก็ไม่ได้เหลิง ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมทำหน้าที่ของตนเองต่อไป อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2002/03 โรนัลโด้ ก็ไม่ได้รับโอกาสจาก โบโรนี่ ให้ลงเล่นมากนัก เพราะเสร็จสรรพได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกไปแค่ 11 เกมเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ หลุยส์ มาร์ติน อดีตผู้ประสานงานด้านเทคนิคของ สปอร์ิติ้ง ก็ได้ให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิ โบโรนี่ ที่ไม่ค่อยเห็นแววของ ยอดแข้งรายนี้ ไว้ด้วยว่า "โบโรนี่ ไม่ค่อยมั่นใจในตัว โรนัลโด้ เขาคิดว่า โรนัลโด้ ยังเด็กเกินไป จึงไม่ค่อยได้ให้โอกาสลงเล่นมากนัก ถึงอย่างนั้นพรสวรรค์ของเขาก็ยังฉายแสงออกมาอยู่ดี เราทุกคนต่างรู้ว่าเขาพร้อมแล้วที่จะเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่ เด็กที่มีพรสวรรค์เต็มเปี่ยมยืนอยู่ข้างหน้าเรา แต่ โบโรนี่ มองไม่เห็น เขาบอกแค่รอเวลาที่เหมาะสมๆ เด็กมีพรสวรรค์แต่ไม่ได้ลงเล่นแม่งก็เปล่าประโยชน์"    หลังจบฤดูกาล 2002/03 แม้ โรนัลโด้ จะไม่ได้ลงเล่นเยอะแยะมากนัก แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง และเริ่มมีทีมใหญ่สนใจบ้างแล้ว ซึ่ง อันเดร ครูซ อดีตแนวรับทีมชาติบราซิล ที่เล่นให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ระหว่างปี 1999-2002 ก็เผยว่าตอนนั้นเขาบอกให้ทีมเก่าอย่าง เอซี มิลาน กับ นาโปลี ซื้อ โรนัลโด้ ไปร่วมทีมด้วย โดยเขาเล่าว่า "ผมได้แนะนำเพื่อนของผมที่ทำงานอยู่กับ เอซี มิลาน และ นาโปลี ให้เซ็นสัญญากับ โรนัลโด้ ซะ ผมบอกเขาว่าถึงแม้หมอนี่มันจะดูผอมแห้ง แต่แม่งโคตรเร็วเลย เขาทำให้ผมนึกถึง โด้อ้วนของบราซิล ตอนที่อายุเท่ากันเลย แต่ตอนนั้นไม่มีใครฟังผมเลย ผมอุตส่าห์ย้ำกับพวกเขาแล้วว่า มึงจะต้องเสียใจ จำชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สักวันพวกมึงจะต้องเสียใจ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ" ในปีนั้น เฟร์นานโด ซานโต้ส ได้เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แทนที่ โบโรนี่ และสิ่งแรกที่ ซานโต้ส ประกาศเลยก็คือ "โรนัลโด้ ไม่ได้มีไว้ขาย!" เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเสีย ริคาร์โด้ กวาเรสม่า ไปให้ บาร์เซโลน่า นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ซานโต้ส ก็ไม่อาจฝืนธรรมชาติได้ สิงหาคม 2003 แมตซ์เปลี่ยนชีวิต คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็มาถึง ลิสบอน อุ่นเครื่องกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และสามารถเอาชนะยอดทีมแห่งเกาะอังกฤษไปได้ 3-1 แต่ผลการแข่งขันยังไม่น่าทึ่งเท่ากับฟอร์มการเล่นของเจ้าหนูหัวหยอยนามว่า โรนัลโด้  หลังจบเกมนัดนั้น สื่อตีข่าวกันกระจายว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สั่งเดินเครื่องเต็มกำลังให้ปิดดีลคว้าตัว ไอ้หนูจอมป่วนรายนี้มากระชากลากเลื้อยที่โรงละครแห่งความฝันให้ได้ และจากนั้นไม่นานเงิน 12.8 ล้านปอนด์ ก็ถูกโอนให้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เป็นค่าสินสอดสู่ขอ โรนัลโด้ มาร่วมทัพ "ปีศาจแดง" และจากนั้นมันก็คือตำนาน ที่หากสาธยายต่อคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ  อีกหนึ่งเรื่องที่หากพูดถึง โรนัลโด้ แล้วจะไม่นึกถึง ไม่ชื่นชมไม่ได้เลยคือเรื่องระเบียบวินัย และการฟิตซ้อมร่างกาย ที่ทำให้ปัจจุบันในวัย 35 ปี ยังยืนอยู่ในระดับสูงได้สบายๆ แบบนี้  ฮูโก้ พิน่า อดีตเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนซี้ของ โรนัลโด้ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ผมมักจะไปพักร้อนกับ คริสเตียโน่ อยู่บ่อยๆ เราเคยไปอยู่ที่เกาะมาเดร่า 2 เดือนครึ่ง แต่การพักร้อนก็ไม่เคยหยุดเขาจากการฝึกซ้อมได้เลย เขาผูกตุ้มน้ำหนักไว้ที่ข้อเท้า แล้วก็วิ่งขึ้นเขา ถ้าคุณเคยไปเที่ยวที่มาเดร่า คุณจะรู้ว่าทางขึ้นขาที่นั่นมันลำบากขนาดไหน มีครั้งนึงเขาดู เธียร์รี่ อองรี ลงเล่นให้ อาร์เซน่อล แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่าเขาอยากจะเร็วกว่า อองรี เช่นเดียวกันกับตอนที่เขาเห็นกล้ามขา และความแข็งแกร่งของ อันเดร ครูซ ตอนซ้อมกับ ลิสบอน จากนั้นเขาก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะยกเวทให้หนักกว่าที่ อันเดร ยกในยิมเท่านึง เขาคิดเสมอว่า 'ถ้าคนอื่นทำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้หละ?' นี่แหละตัวตนของเขา" ขณะที่ หลุยส์ อัลเลเกรีย อดีตกุนซือชุดสำรองของ สปอร์ติ้ง ลิสบอล ตอนที่ โรนัลโด้ อยู่ในทีมก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงศิษย์เก่าว่า "ผมคงจะโกหกหากบอกว่า ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะคว้า บัลลงดอร์ 5 สมัย และจริงๆ มันง่ายมากสำหรับผมเลยนะที่จะป่าวประกาศขอเครดิตว่าเป็นคนฝึกสอนเขามา แต่ความจริงคือ เขามาถึงจุดนี้ได้เพราะตัวเขาเอง ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ของเขาเอง" "เขาไม่เคยเกรงกลัวอะไร ผมจำได้ตอนที่เราลงเล่นเจอกับ ลูซิตาเนีย เขาเพิ่งจะอายุแค่ 17 ปี แต่ต้องมาเจอคู่แข่งที่โตกว่าตั้งเยอะ แถมตกอยู่ในการแข่งขันที่กดดัน สภาพแวดล้อมรอบตัวที่น่ากลัว ถ้าเป็นนักเตะคนอื่นที่อายุเท่านี้คงขาแข็งเล่นไม่ออกแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับ โรนัลโด้ เลย"

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวความเป็นมาก่อนที่แฟนบอลทั่วโลกจะได้รู้จักยอดแข้งเจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ 5 สมัย ชายผู้ครอบครองสถิติต่างๆ มากมายในโลกลูกหนัง เขาผู้นี้คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

ชิน ชินพัฒน์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline