logo-heading

ถึงแม้ อาร์เซน่อล จะอยู่ในช่วงเวลาที่ขาลงสุดๆ ณ ยุคนี้ ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสำเร็จเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาก็เคยสร้างตำนานอันน่าจดจำมาแล้วในปี 2004 กับ การเถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก ชุดไร้พ่าย หรือ “อินวิซิเบิ้ล”

ถ้าคุณอยากรู้ว่าเหล่าบรรดาฮีโร่ของ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ที่ช่วยพากันสร้างประวัติศาสตร์ในวันนั้น...ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไร ? ทำอะไรกันอยู่บ้าง ? วันนี้ทาง "ขอบสนาม" มาฝากแล้ว

เยนส์ เลห์มันน์

Jens Lehmann ย้ายมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2003 พร้อมรับบทบาทเป็นนายทวารมือ 1 อย่างเต็มตัวแทนที่ เดวิด ซีแมน และนั่นคือปีแจ้งเกิดของ เยนส์ เลห์มันน์ อย่างแท้จริงกับการลงเฝ้าเสาใน พรีเมียร์ลีก 38 นัด เก็บได้ 15 คลีนชีท และเสียไปเพียง 26 ประตูเท่านั้น และที่สำคัญคือการพา อาร์เซน่อล เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก แบบไร้พ่ายนี่แหละ ก่อนที่จากนั้นเจ้าตัวจะเก็บข้าวของย้ายออกไปตอนปี 2008 โดยไปอยู่กับ สตุ๊ตการ์ท ในบ้านเกิดที่ เยอรมัน แต่ก็มีช่วงที่แว๊บกลับมาหา "ไอ้ปืนใหญ่" บ้างตอนปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่สโมสรเจอปัญหานายทวารเดี้ยงกันหลายคน ส่วนชีวิตหลังรีไทร์ เยนส์ เลห์มันน์ ก็มีกลับมารับงานโค้ชผู้รักษาประตูให้ อาร์เซน่อล อยู่พักหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาทำงานเป็นนักวิจารณ์เกมให้สื่อในเยอรมัน รวมถึงคอยช่วยงานการกุศลต่างๆ ที่เกี่ยวกับฟุตบอลด้วย และที่สำคัญคือตอนนี้กำลังศึกษางานด้านโค้ชอยู่โดยปัจจุบัน เยนส์ เลห์มันน์ เป็นผู้ช่วยโค้ชที่ เอาก์สบวร์ก

โลร็องต์ เอตาเม่

Lauren ตอนย้ายมาจาก มายอร์ก้า ปี 2000 เดิมที โลร็องต์ เอตาเม่ เป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ที่ อาร์เซน่อล พี่แกถูก อาร์แซน เวนเกอร์ จับไปยืนเป็นฟูลแบ็ก และก็โชว์ฟอร์มและพิสูจน์ตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับฉายาว่า Mr Reliable หรือ "ผู้ชายที่ไว้ใจได้" เขาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ อาร์เซน่อล 2 สมัย คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย และ เอฟเอ คัพ 3 สมัย ก่อนจะย้ายออกไปตอนปี 2007 โดยไปอยู่กับ พอร์ทสมัธ 2 ปีแถมยังมีแชมป์ เอฟเอ คัพ ติดไม้ติดมือมาอีก 1 โทรฟี่ด้วย ก่อนจะย้ายไป กอร์โดบา ใน สเปน และรีไทร์ในปี 2010 ส่วนชีวิตปัจจุบัน โลร็องต์ เอตาเม่ ก็อาศัยอยู่ใน สเปน ณ แคว้นอันดาลูเซี่ยน ที่ เซบิลล์ ทำงานเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ และบางครั้งเจ้าตัวก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นนักวิจารณ์เกมน ลา ลีกา บ้าง >>> Where are they now : 11 ผู้เล่นตัวจริง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุด ทริปเปิ้ล แชมป์ ปี 1999

โซล แคมป์เบลล์

Sol Campbell ชื่อของ โซล แคมป์เบลล์ ทุกคนมักจดจำเขาในฐานะ "บุคคลที่ถูกจงเกลียดจงชังมากที่สุดทางฝั่งลอนดอนเหนือ" โดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เพราะพี่แกได้ตัดสินใจแปรพักตร์จากขุนพลของ "ไก่เดือยทอง" กลายมาเป็นนักเตะของ อาร์เซน่อล ซึ่งเป็นคู่อริตลอดกาลเมื่อปี 2001 แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำลายสมาธิ, ความทะเยอทะยานและความเป็นมืออาชีพของ โซล แคมป์เบลล์ ได้เลย และเขาก็คือส่วนสำคัญของ อาร์เซน่อล ที่สามารถเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ในปี 2004 โดยที่ไม่ปราชัยให้กับผู้ใดเลย พอถึงปี 2006 โซล แคมป์เบลล์ ก็ได้ย้ายออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับ พอร์ทสมัธ และ น็อตต์ เคาท์ตี้ ก่อนจะกลับมา อาร์เซน่อล แปปนึงในปี 2010 ก่อนจะย้ายไปปิดท้ายอาชีพค้าแข้งกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2011 ปัจจุบันถ้าจะถามว่า โซล แคมป์เบลล์ อยู่ไหน ? ตอนนี้เขาเป็นกุนซือใหญ่ให้กับ เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด สโมสรใน ลีก วัน ของ อังกฤษ หลังจากพยายามจะผลักดันตัวเองเข้าสู่การเมือง แต่ไม่สำเร็จ

โคโล่ ตูเร่

Kolo Toure นี่คือคู่หูของ โซล แคมป์เบลล์ ที่ผนึกกำลังกันเฝ้าหลังบ้านจนทีมไม่แพ้ใครเลยในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2003-04 สำหรับ โคโล่ ตูเร่ อยู่ค้าแข้งในสีเสื้อ อาร์เซน่อล 7 ปี ได้ลงเล่นไป 326 เกม นอกจากแชมป์ พรีเมียร์ลีก แล้วก็ยังได้สัมผัสกับถ้วยโทรฟี่ เอฟเอ คัพ อีก 2 สมัยด้วยกัน แต่เส้นทางของ โคโล่ ตูเร่ กับ อาร์เซน่อล เหมือนจะจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ว่ากันว่าพี่แกนั้นมีปัญหาส่วนตัวกับ วิลเลี่ยม กัลลาส ก่อนจะถูกปล่อยตัวไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี ในปี 2009 ตามด้วย ลิเวอร์พูล และ กลาสโกว์ เซลติก ตามลำดับ ก่อนจะตัดสินใจรีไทร์ไปในปี 2017 และก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยมือขวาของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในเวลาต่อมา และปัจจุบันที่ เลสเตอร์ ซิตี้ โคโล่ ตูเร่ ก็จะยังตาม "บีร็อด" มาช่วย เลสเตอร์ ซิตี้ ล่าความสำเร็จบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก ด้วย

แอชลี่ย์ โคล

Ashley Cole แอชลี่ย์ โคล ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลกสมัยค้าแข้งอยู่กับ เชลซี แต่จริงๆ พี่แกฉายแววได้ดีมาตั้งแต่สมัยอยู่กับ อาร์เซน่อล แล้ว และนี่คือหนึ่งในขุมกำลังสำคัญที่พา อาร์เซน่อล เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในยุค อิวิซิเบิ้ล โดยตลอดช่วงอาชีพค้าแข้งของ แอชลี่ย์ โคล ลงเล่นไป 687 เกมรวมทั้ง อาร์เซน่อล, เชลซี, แอลเอ กาแล็คซี่, โรม่า และ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ ยิงไป 20 ประตู ทำได้ 69 แอสซิสต์ คว้าแชมป์รายการใหญ่ๆ มาหมดแล้วทั้ง พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ก่อนที่ปี 2019 แอชลี่ย์ โคล จะประกาศรีไทร์ไปจากเส้นทางลูกหนัง และผันตัวมาเป็นผู้ช่วยของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ ดาร์บี้ เคาท์ตี้ และตอนนี้พี่แกก็ย้ายตามเกลอเก่ามาด้วยที่ เชลซี แต่บทบาทของเขาตอนนี้คือโค้ชทีมเยาวชนของ "สิงโตน้ำเงินคราม"

เฟดริก ลุงเบิร์ก

Freddie Ljungberg ในฐานะนักเตะของ อาร์เซน่อล แมตช์หนึ่งที่น่าจดจำของ เฟดริก ลุงเบิร์ก ก็คือการเปิดซิงประตูในเกมประเดิมสนามสีเสื้อ "ปืนใหญ่" ที่ยำใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อปี 1998 เขาอยู่ค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล 9 ปีลงเล่นไป 324 เกม คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ 2 สมัย เอฟเอ คัพ 3 สมัย ก่อนจะย้ายออกไปเล่นให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในปี 2007 แต่หลังจากนั้น เฟดริก ลุงเบิร์ก ก็ได้โลดแล่นผจญภัยไปยัง สหรัฐอเมริกา, สกอตแลนด์ และ ญี่ปุ่น ก่อนจะมารีไทร์ในปี 2011 กับสโมสร มุมไบ ซิตี้ ในลีก อินเดีย จากนั้นพอถึงปี 2018 เฟดริก ลุงเบิร์ก ก็ได้กลับมายัง อาร์เซน่อล บ้านหลังเก่าอีกครั้งในฐานะโค้ชทีมชุด ยู-23 ก่อนที่ปีต่อมาจะได้ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่ และจากนั้นไม่นานก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นรักษาการกุนซือบัญชาทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" ชั่วคราวแทนที่ อูไน เอเมรี่ ที่โดนเฉดหัวทิ้งไป อย่างไรก็ตาม ณ สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยว่าเฮียแกไปทำอะไร ? อยู่ที่ไหน ? อย่างไร ? นับตั้งแต่ มิเกล อาร์เตต้า ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาคุมทีม อาร์เซน่อล แบบถาวร

ปาทริค วิเอร่า

Patrick Vieira ปาทริค วิเอร่า คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร อาร์เซน่อล และนี่คือสุดยอดกองกลางที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งบนสังเวียน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ โทนี่ อดัมส์ ได้ประกาศรีไทร์ไปในปี 2002 คนที่ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม อาร์เซน่อล ต่อก็คือ ปาทริค วิเอร่า คนนี้นี่แหละ และนี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วย อาร์เซน่อล สร้างตำนานแชมป์ไร้พ่ายในปี 2004 แต่อีก 1 ปีต่อมาเจ้าตัวก็ขอลาทีมรักและตระเวนไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน ก่อนจะกลับมาอังกฤษใช้ชีวิตกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2010 และเมื่อพี่แกแขวนสตั๊ดไปในปี 2011 ก็เริ่มศึกษาเล่าเรียนหลักสูตรการเป็นโค้ชในทันที ปัจจุบัน ปาทริค วิเอร่า รับบทเป็นกุนซือใหญ่ของ นีซ ใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส โดยดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยเก็บเลเวลกับ นิวยอร์ค ซิตี้ มาก่อน 2 ปีใน สหรัฐอเมริกา

จิลแบร์โต้ ซิลวา

2017 FIFA Confederations Cup Media Opportunity หลังจากฉายแววได้อย่างโดดเด่นในศึก ฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ บราซิล เถลิงบัลลังก์แชมป์สมัยที่ 5 มาได้ จิลแบร์โต้ ซิลวา ก็ได้หอบข้าวหอบของจาก แอตเลติโก มิเนโร่ ย้ายมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ อาร์เซน่อล ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และก็อยู่โลดแล่นมา 6 ซีซั่นด้วยกัน ลงเล่นไป 244 เกม ยิงได้ 24 ประตู เขาได้ชื่อว่าเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น โดดเด่นมากในเรื่องการตัดเกมจนสื่อและแฟนๆ ในบ้านเกิดที่บราซิลต้องตั้งฉายาให้ว่า ‘The Invisible Wall’ หรือแปลเป็นไทยก็คือ "กำแพงที่มองไม่เห็น" แต่พอปี 2008 เมื่อรู้สึกอิ่มตัวก็ย้ายไปค้าแข้งในลีก กรีซ กับ พานาธิไนกอส 3 ปีก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่บราซิลกับ เกรมิโอ ปอร์โต้ และปิดท้ายที่ แอตเลติโก มิเนโร่ สโมสรแรกในชีวิตของ จิลแบร์โต้ ซิลวา ปัจจุบันเจ้าตัวก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านลูกหนังในกับสโมสร แอตเลติโก มิเนโร่ นี่แหละ

โรแบร์ ปิแรส

Robert Pires ย้อนกลับไปตอนปี 2016 โรแบร์ ปิแรส ได้กลับมายัง อาร์เซน่อล อีกครั้งในฐานะหนึ่งในทีมสตาฟฟ์โค้ชของ อาร์แซน เวนเกอร์ ก่อนจะอำลาไปพร้อมๆ กันในปี 2018 แต่หากอยากรู้ว่า โรแบร์ ปิแรส ทำอะไรอยู่ตอนนี้ ? ขอบอกเลยว่า เขามีตำแหน่งเป็นหนึ่งในทูตของสโมสร อาร์เซน่อล แค่นั้นไม่ได้มีงานโค้ชหรือวิจารณ์เกมเหมือนเพื่อนเก่าคนอื่นๆ และถ้าเกิดย้อนกลับไปสมัยเป็นนักเตะสำหรับ โรแบร์ ปิแรส ได้รับการยกย่องว่าเป็นปีกที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" เขาอยู่กับ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ปี 2000-06 คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 3 สมัย ลงเล่นไป 283 เกม ยิงได้ 85 ประตู พร้อมกับทำไป 41 แอสซิสต์ ก่อนที่จากนั้นจะย้ายไปค้าแข้งต่อกับ บียาร์เรอัล, แอสตัน วิลล่า และปิดท้ายที่ เอฟซี กัว ในอินเดียตอนปี 2014

เดนนิส เบิร์กแคมป์

Bergkamp "ดิ ไอซ์เบิร์ก" เดนนิส เบิร์กแคมป์ ก็เป็นนักเตะอีกคนที่ขึ้นชั้นระดับตำนานของ อาร์เซน่อล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลงาน และพรสวรรค์ทักษะที่เปี่ยมล้นมันทำให้แฟนบอลรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาลูกบอลอยู่ที่เท้าของเขา สำหรับ เดนนิส เบิร์กแคมป์ อยู่ปักหลักปักฐานกับ "ปืนใหญ่" นาน 11 ปีซัดไป 109 ประตู ทำไป 71 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 402 เกม เขาคือหนึ่งในกลไกสำคัญของ อาร์เซน่อล ยุครุ่งเรือง คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ 3 สมัย แน่นอนว่ารวมถึงปีไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04 ด้วย แต่พอเวลาดำเนินมาถึงปี 2006 เดนนิส เบิร์กแคมป์ ก็ได้ประกาศอำลาสังเวียนและหันไปเริ่มต้นสนใจงานด้านโค้ช นับตั้งแต่นั้นก็เลยตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ ก่อนจะได้ประสบการณ์กับการเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่ ทีมชาติฮอลแลนด์, อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ อัลเมเร่ ซิตี้ ในบ้านเกิด

เธียร์รี่ อองรี

Thierry Henry of Arsenal scores their third goal ไม่มีใครตั้งข้อกังขาในเรื่องศักยภาพฝีเท้าของ เธียร์รี่ อองรี สมัยเป็นนักเตะ เพราะนี่คือนักฟุตบอลที่ดีที่สุด เป็น นัมเบอร์ วัน ในประวัติศาสตร์ของ อาร์เซน่อล และนี่ก็คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรด้วยที่ 226 ประตู นอกจากเรื่องสถิติการพังประตูแล้ว เธียร์รี่ อองรี ยังโดดเด่นเรื่องพรสวรรค์ และทักษะการพาบอลผ่านด่านคู่ต่อสู้อีกด้วย บอลหลายๆ จังหวะมันกลายเป็นดูง่ายไปเลยถ้าออกจากเท้าของเขา แน่นอนเรื่องของความสำเร็จด้านถ้วยแชมป์ อองรี ไม่ได้ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ในยุคเดียวกันกับการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย เอฟเอ คัพ 3 สมัย ต้องบอกเลยว่า ตำนานบทนั้นที่ อาร์เซน่อล เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในยุค อินวิซิเบิ้ล จะไม่มีทางเกิดขึ้นถ้าเกิดไม่มีผู้ชายคนนี้อยู่ในทีม ส่วนตอนนี้ อองรี ทำอะไรอยุ่ ? หลังจากพี่แกรีไทร์ไปในปี 2014 กับ นิวยอร์ค เร้ด บูลส์ ก็ไปเริ่มศึกษางานด้านเส้นทางกุนซืออย่างเต็มตัวโดยมี อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นไอดอล พร้อมกับตั้งความหวังในการกลับมายัง อาร์เซน่อล อีกครั้งในอนาคต โดยในปี 2016 อองรี ได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ที่ ทีมชาติเบลเยี่ยม ก่อนจะได้มาลงสนามจริงๆ ก็ปี 2018 กับ โมนาโก ทีมเก่าของพี่ท่านนี่เอง แต่ผลงานกลับดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เลยทำให้อยู่ที่นั่นไม่นานเท่าไหร่ ส่วนปัจจุบันตอนนี้แกทำงานอยู่ใน เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ สหรัฐอเมริกา กับสโมสร มอนเทรอัล อิมแพ็ค และทำได้มาได้ราวๆ 6 เดือนแล้วด้วยกัน

ตัวสำรอง : เรย์ พาร์เลอร์, เอดู กาสปาร์, โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส

Ray Parlour จริงอยู่ที่ เรย์ พาร์เลอร์ เป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ อาร์เซน่อล แต่ในยุคนั้นที่ อาร์เซน่อล ได้แชมป์ไร้พ่ายแกเองก็อายุเยอะแล้วจึงเป็นได้แค่อะไหล่สำรองของ จิลแบร์โต้ ซิลวา และ ปาทริค วิเอร่า ในแผงมิดฟิลด์ แต่หลังจากปิดฉากชีวิตที่ ไฮบิวรี่ 12 ปี เรย์ พาร์เลอร์ ก็ย้ายไปค้าแข้งต่อกับ มิดเดิ้ลสโบรช์, ฮัลล์ ซิตี้ และปิดท้ายที่ เวมบลี่ย์ เอฟซี ในปี 2012 ก่อนจะรีไทร์ไปในฤดูกาลนั้น ปัจจุบันทาง เรย์ พาร์เลอร์ ทำงานเป็นกูรูนักวิจารณ์เกมลูกหนังตามสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์ต่างๆ Edu of Arsenal ถัดมาที่ เอดู กาสปาร์ ปัจจุบันเขาคือ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสโมสร อาร์เซน่อล และถ้าสมัยเป็นนักเตะเขาลงเล่นไป 127 เกมตลอด 4 ปีในสีเสื้อ "ไอ้ปืนใหญ่" ส่วนฤดูกาลที่ดีที่สุดของ เอดู แน่นอนมันต้องเป็น 2003-04 นี่แหละ เขาได้ลงเล่นไปทั้งหมด 48 เกมจากทุกรายการ ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม พรีเมียร์ลีก ประจำเดือน 1 สมัย แต่น่าเสียดายที่พี่แกดันเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักก็เลยส่งผลต่อโอกาสการลงเล่น แต่จากนั้น เอดู ก็ได้โอกาสย้ายไปลุยต่อ บาเลนเซีย ตามด้วย โครินเธียนส์ ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2010 Jose Antonio Reyes ถึงแม้ โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส จะอยู่ค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล แค่ 3 ปี แต่เขาก็ถือว่าเป็นขวัญใจสาวก "เดอะ กันเนอร์ส" หลายๆ คน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นแนวรุกมากพรสวรรค์คนหนึ่ง มันโชคดีตรงที่ เรเยส ถูก อาร์เซน่อล ซื้อตัวมาจาก เซบีย่า ช่วงต้นปี 2004 ก็เลยได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ทันทีในฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์ แต่จากนั้นปี 2006 เรเยส ก็ได้ย้ายออกไปและพเนจรไปทั่วไม่ว่าจะเป็น เรอัล มาดริด, เบนฟิก้า, เซบีย่า, เอสปันญ่อล, กอร์โดบา, ซินเจียง เทียนฉาง เลโอพาร์ด และปิดท้ายที่ เอ็กซ์เตรมาดูร่า ในฤดูกาล 2018-19 ก่อนจะหันหลังในเส้นทางนักฟุตบอลในที่สุด แต่โชคร้ายที่มันดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับ โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส เพราะเขาได้เสียชีวิตลงในวัย 35 ปีจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

HaMu Dos Santos

ส่วนหนึ่งของข้อมูล : ronaldo ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางไลน์ขอบสนาม
logoline