logo-heading

แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะทะยานขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราวได้สำเร็จ จากการบุกเก็บ 1 แต้มจากรังของ ไบร์ทตัน แต่เชื่อเลยว่า คะแนนเดียวในเกมนี้ เดอะ คอป ไม่พอใจ และดราม่า VAR ในเกมนี้ต้องทำให้สาวก “หงส์แดง” หัวร้อนแบบสุดๆ เป็นแน่แท้ เกมนี้ตลอด 90 นาทีมันเกิดอะไรขึ้น มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง เราเก็บมาฝากท่านแล้ว 

 

การจัดทีม

  เริ่มต้นกันด้วยการจัดทีมเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือจอมเฮฟวี่ของ ลิเวอร์พูล มีการปรับเปลี่ยนผู้เล่นหลายราย เพราะมีทั้งนักเตะเจ็บและไม่ฟิตพอลงเล่น โดยให้โอกาส 2 ดาวรุ่งอย่าง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงเล่นเป็นแบ็กขวา และ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ เล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ ฟาบินโญ่ ส่วนกองกลางนัดนี้ ขยับ ทาคูมิ มินามิโนะ ลงมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ร่วมกับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม และ เจมส์ มิลเนอร์ ขณะที่เกมรุกพัก ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวสำรอง ใช้ โม ซาลาห์, ดิโอโก้ โชต้า และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ด้านเจ้าถิ่น ไบร์ทตัน เกมนี้ไม่มีแบ็กจอมบุกอย่าง ทาริก แลมพ์ตี้ย์ ที่ติดโทษแบน ขณะที่ตัวความหวังก็ฝากเอาไว้ที่ นีล โมเปรย์, อารอน คอนนอลลี่ และ แดนนี่ เวลเบ็ค   

หงส์ เสียจุดโทษแต่หัววัน

  เริ่มเกมมาก็เป็นทางฝั่งทีมเยือน หงส์แดง ที่แม้ตัวหลักจะอยู่กันไม่ครบพิการไปเกือบครึ่งทีม แต่ก็ยังเดินหน้าเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างต่อเนื่อง ทว่าพอผ่านไปเกือบ 10 นาที ไบร์ทตัน ก็เริ่มตั้งสติและตั้งเกมได้ มีโอกาสดักบอลสวนกลับหลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ด้วย ทว่า อารอน คอนนอลลี่ ดันยิงออกไปเอง แต่แล้วนาทีที่ 19 ลิเวอร์พูล ก็มาเสียจุดโทษจากจังหวะที่ เนโก วิลเลี่ยมส์ ไม่เก๋าพอไปเข้าสกัดใส่ อารอน คอนนอลลี่ ล้มลงไปในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้าชี้เป็นจุดโทษทันที โดยที่แทบไม่ต้องรอยืนยันจาก VAR เลย   อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" ก็รอดพ้นจากการโดนเจ้าถิ่นออกนำไปได้ เพราะ นีล โมเปรย์ นั้นดันซัดหลุดออกนอกกรอบไปเอง ทั้งๆ ที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ก็พุ่งผิดทางไปแล้วด้วย แถมหลังจากนั้นไม่กี่นาที โมเปรย์ ก็มาเจ็บเล่นต่อไม่ไหวต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปด้วย เรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ ซึ่งมันทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 1998 ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก แล้วยิงจุดโทษพลาด และถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนจบครึ่งแรกด้วย  

VAR ยึดประตู ซาลาห์

  หลังจากชวดได้ประตูขึ้นนำและเสียกองหน้าตัวหลักอย่าง โมเปรย์ ไป ไบร์ทตัน ก็ดูจะเสียเซลฟ์ไปพอสมควร ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ได้ครองเกมบุกอีกครั้ง แต่ หงส์ ชุดพิการนี้มันก็ไม่ได้เฉียบคมอะไรเหมือนชุดใหญ่ จังหวะเข้าทำยังขาดๆ เกินๆ ไปมา แถมเกือบโดนจังหวะสวนกลับเล่นงานอีกต่างหาก แต่แล้ว ลิเวอร์พูล ก็มาส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ จากจังหวะที่ โม ซาลาห์ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดผ่านมือ แม็ทธิว ไรอัน แต่พอเช็ค VAR ก็เห็นว่า ซาลาห์ นั้นเหลื่อมล้ำหน้าไปแค่ปลายตีน แต่ล้ำก็คือล้ำนั้นแหละ "หงส์แดง" ชวดได้ประตูขึ้นนำบ้าง และจบครึ่งแรกลงไปด้วยการเจ๊าจืด 0-0  

โชต้า ยิงอีกแล้ว

  เริ่มครึ่งหลัง คล็อปป์ ตัดสินใจถอด เนโก วิลเลี่ยมส์ ที่ทำเสียจุดโทษ เล่นโฉ่งฉ่าง และเป็นบ่อน้ำมันให้โดนเจาะออกไป แล้วส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาเล่นแทน พลางขยับ เจมส์ มิลเนอร์ ถอยไปเป็นแบ็กขวา ซึ่งก็ทำให้รูปเกมของ "หงส์แดง" นั้นดูดีขึ้นกว่าครึ่งแรก และก็มาได้ประตูขึ้นนำจนได้ในนาทีที่ 60 จากจังหวะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ขึ้นมาทางซ้ายก่อนจะปาดให้ โม ซาลาห์ จิ้มต่อให้ โชต้า ล็อกหนีหนึ่งจังหวะก่อนจะซัดเข้าไปให้ "หงส์แดง" ออกนำ 1-0 โดยเป็นประตูที่ 9 จาก 14 เกมของ โชต้า ที่ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล และเป็นประตูที่ 8 จาก 8 เกมหลังสุด เรียกได้ว่าฟอร์มกำลังขึ้นหิ้งแบบสุดๆ  

VAR ยึดประตู มาเน่ 

  หลังได้ประตูขึ้นนำ ไบร์ทตัน ก็พยายามจะดันขึ้นสูงบุกเข้าใส่ โดยเฉพาะช่วงที่ เจมส์ มิลเนอร์ เจ็บต้องถูกเปลี่ยนออกแล้วส่ง เคอร์ติส โจนส์ ลงมาเล่นแทนก็พยายามจะเจาะเข้าทางฝั่งแบ็กขวาของ หงส์แดง เรื่อยๆ แต่ก็ทำไม่ได้ จนกระทั่งนาทีที่ 84 เจ้าถิ่นก็เกือบมาโดนนำห่าง 2-0 จากจังหวะฟรีคิก โรเบิร์ตสัน ครอสเข้าไปตรงกลางประตูให้ ซาดิโอ มาเน่ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองเทคตัวขึ้นโขกเข้าไป แต่ก็มาโดนพิษ VAR ริบคืนอีกครั้ง เพราะ มาเน่ นั้นยืนล้ำหน้าอยู่ก่อนแล้ว ก็เฮเก้อกันไป แต่ไม่เป็นไรเวลากำลังจะหมด แล้วก็นำอยู่ด้วย  

VAR ให้จุดโทษ ไบร์ทตัน ท้ายเกม

  ช่วงท้ายเกม ไบร์ทตัน ก็พยายามดันขึ้นสูง แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสหวาดเสียวอะไรมากมายนัก สะเปะสะปะปาดไปปาดมา เรื่อยเปื่อย จนกระทั่งนาทีที่ 90+1 อยู่ๆ ทางห้อง VAR ก็แจ้งมาว่า ไบร์ทตัน มีโอกาสได้จุดโทษจากจังหวะที่ มหาเทพ เวลเบ็ค โดน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เตะข้อเท้าในกรอบเขตโทษ ซึ่งจังหวะนั้นบอลมันเล่นต่อไปแล้ว และทาง เวลเบ็ค หรือผู้เล่นเจ้าถิ่นก็ไม่ได้โวยหรือเรียกร้องอะไรด้วย แต่ผู้ตัดสินห้อง VAR บอกว่าให้ สจ๊วตต์ แอธท์เวลล์ ผู้ตัดสินหลักเดินไปดูเองเลยดีกว่าว่าจะพิจารณาจังหวะนี้ยังไง ซึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจให้เป็นจุดโทษที่ 2 ในเกมนี้กับ ไบร์ทตัน และก็เป็น ปาสกาล กรอส รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาดช่วยให้ ไบร์ทตัน ตามตีเสมอ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จเป็น 1-1 ก่อนจะจบเกมไปด้วยสกอร์นี้ แบบที่ VAR ไม่้เป็นใจกับ หงส์แดง เลย

ชิน ชินพัฒน์  

 
logoline