logo-heading

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่พลาดเก็บ 3 คะแนนสำคัญด้วยการเปิดบ้านอัด นิวคาสเซิ่ล ทีมท้ายตารางไปได้ 3-1 ทำให้แซง เลสเตอร์ ซิตี้ กลับไปเป็นรองจ่าฝูงได้สำเร็จ ซึ่งแม้ว่าไอ้การจะไล่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเป็นเรื่องยาก เพราะพี่แกเล่นไม่พลาดเลย แต่ว่า พวกเขาก็ยังต้องเดินหน้ารักษาอันดับเอาไว้ให้ได้ เพื่อคว้าสิทธิ์ไปลุยศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั้นหน้า 

โดยเกมนี้มีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง เราไปดูกันเลยดีกว่า เริ่มต้นที่การจัดตัวกันก่อนเลย เกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงขาด เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยที่ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ ก็เลยต้องใช้ลูกรักอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า ส่วนปีก 2 ข้าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ประจำการทางฝั่งซ้าย ขณะที่ด้านขวานั้นยังคงให้ ดาเนียล เจมส์ ที่ยิงประตูได้ในเกม ยูโรปาลีก ที่ถล่ม โซเซียดาด ไป 4-0 เป็นตัวจริงต่อไป ด้านกองกลางเกมนี้ ไม่มีทั้ง สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และ ปอล ป็อกบา รวมถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค เพราะโดนอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปเลยต้องใช้ เฟร็ด จับคู่กับ เนมานย่า มาติช  ตัดสลับกลับมาดูที่ฝั่งผู้มาเยือนอย่าง นิวคาสเซิ่ล ของ สตีฟ บรูซ อดีตกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ของ  "ปีศาจแดง" ยุคทอง กันบ้าง นัดนี้ยังขาด คัลลั่ม วิลสัน กองหน้าตัวเก่งที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ โจลินตัน, มิเกล อัลมิร่อน และ อัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง ซึ่งแน่นอนว่าก่อนเกมนี้จะเริ่ม ใครๆ ก็มองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นเหนือกว่าทุกกระบวนท่า ทั้งชื่อชั้นนักเตะ อันดับตารางคะแนน ผลงานล่าสุดก็เพิ่งคืนฟอร์มเก่งถล่ม โซเซียดาด ไปถึง 4 เม็ด แถมยังได้เล่นในบ้านตัวเองอีกด้วย ยังไงก็ไม่น่าจะใช่งานยากอะไรของเหล่าพลพรรคอสูรแดง ทว่าพอเกมเริ่มมาจริงๆ ผีแดง ที่คิดว่าจะทำได้ดีกว่า กลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ และต้องวิ่งไล่หาบอลปล่อยให้ นิวคาสเซิ่ล ครองเกมรุกบุกเข้าใส่ซะอย่างงั้น กว่าจะเรียกสติตั้งลำได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 20 นาที แถมเกือบโดนยิงนำด้วยซ้ำ ยังดีที่ ดาบิด เด เคอา ยังช่วยเซฟเอาไว้ได้ ซึ่งหลังจากตั้งสติได้แล้วเกมของ ผีแดง ก็ดีขึ้นจากช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด เริ่มครองบอลได้มากขึ้น ต่อบอลทำเกมรุกได้ดีขึ้น จนสุดท้ายโอกาสจบแบบจะแจ้งครั้งแรกในเกมนี้ของ ผีแดง ก็มาถึงในนาทีที่ 30 แล้วก็เป็นประตูขึ้นนำซะด้วย โดยประตูนี้ต้องยกเครดิตให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปเต็มๆ เพราะ หนูแรช แกโชว์เดี่ยวเลี้ยงหลบล็อคหลอกจากริมเส้นเข้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะโยกหลบอีกทีนึงแล้วตะบันเสียบเสาเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ช่วยปลดล็อคให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำได้สำเร็จเป็น 1-0 พอขึ้นนำเกมก็ดูเหมือนว่าจะตกเป็นของ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว เพราะได้ประตูที่ต้องการ อะไรๆ ก็เหนือกว่าหมด ทว่านำได้แค่ 6 นาทีเท่านั้น ผู้มาเยือนก็ตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะเตะมุมเล่นสั้น เปิดเข้ามา แฮร์รี่ แม็คไกวร์ โขกสกัดไม่ดี บอลเจ้ากรรมดันไปเข้าทางปืนของ อัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง กดเต็มข้อบอลลอยเฉี่ยวมือ ดาบิด เด เคอา ที่พยายามปัดป้องแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จเข้าประตูไป ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ตีเสมอได้สำเร็จเป็น 1-1 ประตู ก่อนจะจบครึ่งแรกลงไปด้วยสกอร์นี้ เข้าสู่ครึ่งหลัง แทนที่จะเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด เจ้าถิ่นที่ทำเกมรุกบุกเข้าใส่หวังจะขึ้นนำอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็น นิวคาสเซิ่ล ที่เปิดฉากครึ่งหลังมาได้ดุดันกว่า เกือบ 10 นาที และมีโอกาสจะแซงนำด้วยจากจังหวะยิงของ อัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง เจ้าเก่า ยังดีที่ เด เคอา ยืนตำแหน่งดีล้มตัวคว้าบอลเอาไว้ได้ แต่แล้วพอทีมเยือนทำไม่ได้ ก็เป็นทีของเจ้าถิ่นบ้าง และกลายเป็นประตูขึ้นนำอีกครั้งทันที จากจังหวะที่ เนมานย่า มาติช พลิกตัวหลุดเข้ามาในเขตโทษ จ่ายต่อให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส ซึ่งเหมือนจะถลำไปแต่กลายเป็นดีที่จิ้มต่อให้ ดาเนียล เจมส์ มีพื้นที่มีเวลาก่อนจะบรรจงตะบันเต็มข้อสวนตัว คาร์ล  ดาร์โรลว์ เข้าประตูไป ส่งให้ ผีแดง ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 ในนาทีที่ 57 หลังจากขึ้นนำได้อีกครั้ง คราวนี้ ผีแดง ไม่เล่นติดประมาทหรือผ่อนเกมเหมือนตอนขึ้นนำ 1-0 แล้ว ยังคงวิ่งไล่บี้เพรสซิ่ง และพยายามทำเกมบุกหวังเอาประตูหนีห่างเป็น 3-1 เพื่อความชัวร์ ซึ่งก็ทำได้สำเร็จซะด้วยในนาทีที่ 75 จากจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดน โจ วิลล็อค เกี่ยวล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้าเป้าเป็นจุดโทษทันที ชนิดที่แทบจะไม่ต้องดู VAR แล้วก็เป็น บรูโน่ แฟร์นันเดส มือสังหารเบอร์ 1 ของทีม ที่รับหน้าที่นี้ แล้วก็ยิงไม่พลาดช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด นำห่าง 3-1 ช่วงเวลาที่เหลือ เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นของ นิวคาสเซิ่ล นั้นถอดใจแล้ว เพราะรูปเกมในครึ่งหลังนอกจากช่วงต้นครึ่งหลังที่วูบวาบ นอกนั้นก็สู้ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลย ซึ่งทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็เล่นเพลย์เซฟเคาะไปมากินเวลา ไม่ได้เร่งเครื่องอะไรมากมายแล้ว มีโอกาสโขกเตะมุมของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ 2 ทีซ้อนติดเซฟ 1 และเฉี่ยวเสาไป 1 ช่วงท้ายเกมสิ่งที่แฟนผีหลายคนอยากเห็น ก็เป็นจริง นั่นคือการประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่นัดแรกของ โชล่า โชร์เรธิเร่ กองกลางดาวรุ่งที่เพิ่งจะอายุครบ 17 ขวบไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แม้เวลาประมาณ 5 นาทีที่อยู่ในสนาม เจ้าหนูรายนี้ยังไม่ได้ฉายแววอะไรให้เห็นมากนัก แต่ก็ถือเป็นนมิตรหมายอันดีว่า โซลชา มีความเชื่อมั่นในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อย ถึงขนาดให้โอกาสลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ตั้งแต่อายุแค่ 17 ปี ดูดีมีอนาคต และสุดท้ายก็จบ 90 นาที ผีแดง เก็บ 3 คะแนนได้สำเร็จ ด้วยการเปิดบ้านตบ "สาลิกาดง" ไป 3-1 แซง เลสเตอร์ ซิตี้ กลับขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงได้สำเร็จ

ก็ถือได้ว่าเป็นเกมที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัดสำกรับทีม “ปีศาจแดง” อย่างที่บอกล่ะครับ ว่าการไล่ แมนฯซิตี้ อาจจะยาก แต่การรักษาอันดับ 2 เอาไว้ และหากจบซีซั่นด้วยอันดับนี้ ก็คงเป็นปีที่ดีสำหรับพวกเขาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว 

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline