logo-heading

จบลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับศึกบิ๊กแมตซ์ ประจำเวที พรีเมียร์ลีก สัปดาห์นี้ เชลซี ปะทะ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยจบ 90 นาที กินกันไม่ลงจบเจ๊าไม่เร้าหรือไปแบบจืดชืด 0-0 ประตู ซึ่งต้องบอกว่าเกมนี้เล่นกันได้อย่างสู้สีสู้กันด้วยแท็คติก และพยายามฉกฉวยหาจังหวะกันได้สนุกทีเดียว ว่าแล้วเกมนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไปดูกันเลย

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย เชลซี เกมนี้ มีเซอร์ไพร้ส์เล็กๆ เพราะ โธมัส ทูเคิ่ล ตัดสินใจส่ง ฮาคิม ซีเย็ค ที่ปกติแล้วจะนั่งสำรองลงเล่นเป็นตัวจริง ส่วนกองหน้าตัวเป้าก็ใช้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ฟอร์มกำลังดีลงเล่นเป็นตัวจริง โดยมี เมสัน เมาท์ กับ ซีเย็ค คอยป้อนบอลให้ ฟลูแบ็ก 2 ฝั่งก็เป็น เบน ชีลเวลล์ กับ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และกองกลางที่คอยตัดเกมก็ใช้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และใช้กองหลัง 3 ตัว ขณะที่ทางฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ฤดูกาลนี้มักจะทำผลงานได้ไม่ดีเวลาเจอทีมท้อป 6 วางหมากมาในระบบ 4-2-3-1 โดยยังให้โอกาส ดาเนียล เจมส์ ที่ช่วงนี้กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่ของ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ฟอร์มออกทะเลไปไกล ส่วนกองกลางก็วาง สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ จับคู่กับ เฟร็ด เป็น 2 ตัวขยันคอยไล่บอลคู่แข่ง ส่วนกองหน้าก็จะมี เมสัน กรีนวู้ด สลับกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปรับหน้าที่เป็นหัวหอกตัวเป้า โดยมี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นเพลย์เมกเกอร์คอยสร้างสรรค์โอกาสให้ เข้าสู่การแข่งขัน เริ่มต้นเกมก็เป็นเจ้าถิ่นที่ครองบอลหาจังหวะทำเกมรุกบุกเข้าใส่ได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ประตูขึ้นนำ จนกระทั่งผ่านไป 10 นาที ผีแดง ก็เริ่มตั้งสติเรียกสมาธิกลับมาได้ จนมีโอกาสได้ยิงทักทาย เชลซี คืนบ้าง และก็เกือบได้ด้วยจากจังหวะซัดฟรีคิกของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในนาทีที่ 14 แต่ เมนดี้ ก็ยังชกทิ้งออกไปได้ ถัดจากนั้นมา 2 นาทีก็มีดราม่าเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ ผู้ตัดสินห้อง VAR แจ้ง สจ๊วร์ต แอตเวลล์ ผู้ตัดสินหลักในสนามว่า 'เฮ้ย เอ็งมาดูจังหวะนี้หน่อยดิ บอลแม่งไปโดนมือของ ฮัดสัน โอดอย ในเขตโทษหวะ มึงมาเช็คเองเลยดีกว่าว่าจะให้จุดโทษมั้ย' ซึ่ง แอตเวลล์ ก็ตัดสินใจเป่าหยุดเกมและวิ่งไปดูภาพช้า VAR ซึ่งว่ากันตามตรงมันโดนมือของ โอดอย เต็มๆ แต่ก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดอะไรยังไงไม่ทราบได้ เพราะสุดท้ายพี่แกก็ปล่อยผ่านบอกว่าจังหวะนี้ไม่มีอะไรไม่ใช่จุดโทษ ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดข้อถกเถียงกันยับเยินในโลกโซเชียลถึงจังหวะนี้ที่ดูเหมือนว่า "ปีศาจแดง" จะเสียผลประโยชน์จาก VAR อีกแล้ว พอไม่ได้จุดโทษ เหมือนผู้เล่นเชลซีก็โล่งใจ ต่างกับแข้งผีแดง ที่ยังขมุกขมัวข้องใจอยู่ว่าทำไมถึงไม่ได้ ก็เลยทำให้สมาธิเสียไปพักนึง จนเกือบโดน คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย สอยตาข่ายแต่ยังดีที่บอลถากเสาสองออกไปในนาทีที่ 22 นาทีที่ 32 ก็เป็นอีกครั้งที่ เชลซี เกือบได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ ดาบิด เด เคอา ออกบอลพลาดไปเข้าทาง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ซะงั้น ทว่ากองหน้าดีกรีแชมป์โลกดันรีบร้อนไปหน่อย ตัดสินใจยิงสวนทันที บอลเลยออกไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะจบครึ่งแรกลงไปด้วยสกอร์นี้ โดยที่รูปเกมค่อนข้างสูสี เชลซี ดูดีกว่านิดส์นึง เริ่มต้นครึ่งหลัง "สิงห์บลูส์" เป็นฝ่ายขยับเปลี่ยนตัวก่อนโดยถอด คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่เล่นเด่นใช้ได้ในครึ่งแรกออก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บบริเวณเข่า แล้วส่ง รีช เจมส์ ลงมาเล่นแทน ซึ่งช่วงต้นครึ่งหลัง เชลซี ก็ยังเป็นฝ่ายเปิดหัวได้ดีกว่า และเกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ เบน ชิลเวลล์ หลุดมาทางซ้ายก่อนจะปาดเข้ากลางมาให้ ฮาคิม ซีเย็ค วิ่งมาซัด แต่ก็ยังติดเซฟ เด เคอา ที่ยังยกมือขวาขึ้นมาปัดป้องเอาไว้ได้ทั้งที่ตัวถลำไปอีกฝั่งแล้ว แต่หลังจากนั้น แมนฯ ยู ก็ดูดีขึ้นและก็ได้โอกาสลุ้นประตูเหมือนกันจากการเล่น 1-2 กันระหว่าง เมสัน กรีนวู้ด กับ ดาเนียล เจมส์ ก่อนที่ เจ้าหนูไม้เขียว จะได้ตะบันด้วยซ้ายหน้ากรอบเขตโทษบอลลอยหลุดสามเหลี่ยมออกไปนิดเดียว จากนั้นอีกไม่กี่อึดใจ แมนฯ ยู ก็มาอีกชุดและได้จบโดย สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ แต่ก็ยังติดเซฟของ เมนดี้ อยู่ดี หลังผ่านนาทีที่ 60 ต่างฝ่ายต่างแลกกันสนุก ใครบุกก็ต้องระวังโดนเกมสวนกลับ ใครตั้งรับมากๆ ก็ต้องระวังโดนโจมตี เรียกได้ว่าเป็นเกมที่สูสีและสู้กันด้วยแท็คติกอย่างแท้จริง แม้ว่าโอกาสยิงแบบจั๋งๆ จะไม่ได้มากมายนักทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากดูบอลแบบยุทธวิธีแท็คติก การแก้เกม ถือว่าสนุกใช้ได้เลยทีเดียว สุดท้าายจบ 90 ลงไปด้วยการเสมอกัน 0-0 แบ่งกันไปทีมละ 1 แต้ม โธมัส ทูเคิ่ล ยังคงไม่แพ้ใครนับตั้งแต่เข้ามารับงานคุม เชลซี แทนที่ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด โดยนัดนี้ถือเป็นเกมที่ 8 เข้าไปแล้วด้วย ส่วน 1 แต้มในเกมนี้ก็ทำให้ "สิงห์บลูส์" ไม่ดีพอที่จะแซง เวสต์แฮม ขึ้นไปอยู่อันดับ 4 ส่วน "ปีศาจแดง" นั้น แม้สัปดาห์นี้จะยังรักษาตำแหน่งรองจ่าฝูงไว้ได้ แต่ก็ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ไกลถึง 12 แต้มแล้ว  

ชิน ชินพัฒน์

 
logoline