logo-heading

ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทัวร์นาเมนต์ชิงความเป็นใหญ่ของทวีปยุโรป เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว และ คู่แรกในวันนี้ก็คือการเจอกันของ เจ้าพ่อรายการนี้อย่าง เรอัล มาดริด จาก ลา ลีกา สเปน ที่เปิดรังต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี จากศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะคว้าแชมป์เป็นสมัยที่สองในประวัติศาสตร์ของตัวเองให้ได้ 

  เรามาเริ่มต้นกันที่การจัดทีมกันก่อนเลยเกมนี้ ซีเนอดีน ซีดาน กุนซือหัวไข่ดาวของ เรอัล มาดริด เจ้าถิ่น ยังหมดสิทธิ์ใช้งาน เซร์คิโอ รามอส แนวรับกัปตันทีมอยู่ แม้ว่าจะมีข่าวออกมาว่าน่าจะฟิตทันก็ตาม ส่วน เอแด็น อาซาร์ กองกลางเด็กเก่าของ เชลซี ก็หายเจ็บมีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง ฉะนั้นเกมนี้ก็เลยฝากความหวังเอาไว้ที่ 2 แนวรุกอย่าง คาริม เบนเซม่า กับ วินิซิอุส จูเนียร์ ส่วนกองกลางก็วางไว้ทั้ง โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ กาเซมิโร่ ที่เป็นชุดแดนกลางที่ดีที่สุดของทีมในชั่วโมงนี้ ขณะที่ทางฝั่ง เชลซี ของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็จัดหนักจัดเต็มเหมือนกัน เพราะก่อนเกมนี้มีแค่ มาเตโอ โควาซิช คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ลงเล่นไม่ไหว โดยเกมนี้เล่นหลัง 3 ตัวเน้นรับแน่นเอาไว้ก่อน ขนาบข้างด้วยฟูลแบ็ก 2 ฝั่ง กองกลางก็วางจอมขยันอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จับคู่กับ จอร์จินโญ่ ส่วนเกมรุกก็ฝากความหวังเอาไว้ที่ เมสัน เมาท์, ติโม แวร์เนอร์ และ คริสเตียน พูลิซิช ดาวเตะที่ เชลซี ดันขึ้นมาแทนที่ของ เอแด็น อาซาร์  อย่างไรก็ตามพอเริ่มเกมมา เชลซี ของ ทูเคิ่ล ก็ทำเซอร์ไพรส์ได้ดีทีเดียว เพราะกลายเป็นฝ่ายที่ทำเกมรุกบุกเข้าใส่ เรอัล มาดริด ได้ดีกว่า เรียกได้ว่าหักปากกาเซียนเลยทีเดียว และมีโอกาสทองที่จะได้ประตูขึ้นนำด้วยในนาทีที่ 9 จากจังหวะที่ คริสเตียน พูลิซิช โขกตั้งมาให้ ติโม แวร์เนอร์ วิ่งมายิงจ่อๆ หน้าประตู แต่ก็ดันไปติดเซฟ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ซะอย่างงั้น พลาดโอกาสขึ้นนำไปอย่างเหลือเชื่อ ทว่าจากนั้นไม่ถึง 5 นาที เชลซี ก็เอาประตูขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่ คริสเตียน พูลิซิช รับบอลวางยาวกว่าครึ่งสนามจาก อันโตนิโอ รูดิเกอร์ หลุดกับดักล้ำหน้า เข้าไปแตะหลอก ติโบต์ กูร์กตัวส์ ก่อนจะยิงเข้าประตูไป กลายเป็นประตูขึ้นนำให้ เชลซี 1-0 พอได้ประตูขึ้นนำ และได้อเวย์โกลแล้ว  ก็ดูเหมือนว่า สิงห์บลูส์ จะพอใจกับสกอร์นี้ ซึ่งมันก็จริงเพราะการบุกมานำ เรอัล มาดริด ได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ทำให้ "ราชันชุดขาว" ที่ดูเหมือนจะหลับไหลไปในช่วงต้นเกม ตื่นขึ้นมา และก็ใช้เวลาแค่ 15 นาที ก็ตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 29 จากจังหวะที่ มาร์เซโล่ โยนบอลบาวมาให้ การ์เซมิโล่ โขกต่อให้ เอแดร์ มิลิเตา โหม่งย้อนกลับหลังมาเข้าทางปืนของ คาริม เบนเซม่า ที่กำลังฟอร์มฮ็อท ซัดเข้าประตูไปไม่มีเหลือ ทำให้ มาดริด ไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จเป็น 1-1 ประตู หลังเกมกลับมาเสมอกัน มันก็ยังสนุกอยู่สู้กันด้วยแท็คติก แล้วก็มีลุ้นกันทั้ง 2 ทีม เรอัล มาดริด ก็ได้ลุ้นจากลูกยิงไกลของ โที่ โครส ส่วน "สิงห์บลูส์" ก็มีได้ลุ้นจาก แวร์เนอร์ คนดีคนเดิมในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่ก็หลุดออกหลังไป ทำให้จบเกมเสมอกันอยู่ 1-1 เกมครึ่งหลัง ดูเหมือนว่าทางฝั่งเจ้าถิ่นอย่าง เรอัล มาดริด จะครองบอลได้มากกว่าก็จริง แต่โอกาสยิงจังๆ แทบไม่มีเลย หนำซ้ำยังเป็น เชลซี ด้วยซ้ำ ที่หาโอกาสเข้าทำได้ดีกว่า การแก้เกมของโค้ชทั้ง 2 ทีม ก็มีการโชว์กึ๋นกันบ้าง ซีดาน ส่ง เอแด็น อาซาร์ ที่ยังไม่ฟิตเต็มร้อย ลงมาเจอทีมเก่า แต่ก็ไร้พิษสง ส่วน ทูเคิ่ล นี่เปลี่ยนทีเดียว 3 ตัวเลย ตอนนาทีที่ 66 เอา คริสเตียน พูลิซิช คนยิงขึ้นนำ, ติโม แวร์เนอร์ ที่ยิงจ่อๆ พลาด และ เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า กัปตันทีมออก แล้วส่ง ฮาคิม ซิเย็ค, ไค ฮาแวร์ตซ์ และ รีซ เจมส์ ลงมาเล่นแทน แต่จนแล้วจนรอด รูปเกมก็ดูอึดอัดสู้กันด้วยแท็คติกอย่างที่บอก และดูเหมือนว่าทั้ง 2 ทีมจะพอใจกับผลเสมอ 1-1 ไว้ค่อยไปลุยกันต่อในเลกที่ 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้ว่า เชลซี จะได้ลุ้นยิงจากฟรีคิกระะยะหวังผลของ ฮาคิม ซีเย็ค ตัวสำรอง แต่ กรูกตัวส์ ก็รับได้สบาย ส่วน มาดริด เองก็ได้ลุ้นในช่วงท้ายเกมจากลูกยิงไกลแฉลบเฉี่ยวเสาออกหลังไปของ โทนี่ โครส

สุดท้ายก็จบลงด้วยสกอร์นี้นี่แหละ 1-1 ทำให้เกมยังดูยากอยู่ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในเลกที่ 2 แต่ถือว่าเกมนี้สู้กันได้สนุกทีเดียวเชียว ส่วนใครจะเช้าชิง สัปดาห์หน้าที่ลอนดอนเดี๋ยวได้รู้กัน

 

ชิน ชินพัฒน์

 
logoline