logo-heading

เรียกได้ว่าค่อนข้างเหนือความคาดหมายจริงๆ สำหรับการแข่งขันเลกแรกของรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ อาแอส โรม่า เพราะแม้ "ผีแดง" จะถูกมองว่าเหนือกว่า ทั้งได้เล่นในบ้านและศักยภาพผู้เล่น แต่ก็คงไม่มีใครคิดว่าจะไล่ถล่ม "หมาป่ากรุงโรม" เละเทะถึง 6-2 แถมเป็นการพลิกกลับมาแซงชนะ แถมครึ่งหลังยังตะบันไปถึง 5 ประตู ในเกมนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างสกอร์ถึงออกมาในรูปนี้ เราไปดูกันดีกว่า

  เริ่มต้นที่การจัดทีม นัดนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือทัพ "ปีศาจแดง" แสดงให้เห็นชัดเจนว่า "ถ้วยนี้กูขอนะ" ด้่วยการจัด 11 ตัวจริงที่น่าจะดีที่สุดแล้วลงสนาม อาจจะมีคำถามอยู่ตรงแค่ตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ ดาบิด เด เคอา กลายเป็นสำรองของ ดีน เฮนเดอร์สัน แบบถาวรแล้วหรือยัง แต่ดูทรงน่าจะใช่แล้วหละ เพราะนัดนี้ พี่ลามะ ถูกส่งลงเฝ้าเสา ส่วนกองกลางก็วาง เฟร็ด คู่กับ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ มี บรูโน่ แฟร์นันเดส เป็นเพลย์เมกเกอร์ และขนาบข้างด้วย ปอล ป็อกบา กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดยมี เอดินสัน คาวานี่ เป็นหัวหอกตัวเป้า ตัดสลับกลับมาดูที่ทีมเยือนกันบ้าง เปาโล ฟอนเซก้า นายใหญ่ของทัพ "หมาป่ากรุงโรม" จัดทีมมาแบบค่อนข้างเน้นรัดกุม เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี คริส สมอลลิ่ง ที่ได้ลงเล่นเจอกับอดีตต้นสังกัด ขนาบข้างด้วยฟลูแบ็ก 2 ฝั่ง กองกลางวาง จอร์แดน เวอร์ตูร์ กับ อมาดู ดิยาวาร่า ส่วนตัวรุกก็ใช้ ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่ กัปตันทีมกับ เฮนริค มคิห์ทาร์ยาน ที่เป็นอีกคนที่ได้เจอกับทีมเก่า หน้าเป้าก็ตัวเก๋าอย่าง เอดิน เชโก้ เริ่มเกมมาก็เป็น ผีแดง เจ้าถิ่นที่ดูเหมือนจะครองเกมได้ดีกว่า แต่ก็ยังหาจังหวะจบสกอร์ไม่ได้ ส่วน โรม่า เองก็โชคร้ายเพราะต้องเสีย จอร์แดน เวอร์ตูร์ กองกลางคนสำคัญไปตั้งแต่ 5 นาท่ีแรก เพราะวิ่งผิดจังหวะกล้ามเนื้อกระตุกเล่นต่อไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออกไปให้ กอนซาโล่ วิลลาร์ ลงมาเล่นแทน หลังเปลี่ยนตัวได้ไม่ถึง 5 นาที ผีแดง ก็มาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะเข้าทำที่เข้าขารู้ใจและสวยงามมาก เริ่มจาก ปอล ป็อกบา พลิกบอลหนีตัวประกบมา 2-3 คน ก่อนจะจ่ายต่อให้ เอดินสัน คาวานี่ เบิ้ลต่อทะลุช่องให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส หลุดไปชิพข้ามหัว เปา โลเปซ นายด่าน โรม่า เข้าประตูไป ส่งให้ แมนฯ ยู ออกนำก่อน 1-0 พอขึ้นนำเร็วแบบนี้แล้วรูปเกมก็ดูเหนือกว่า แถมคู่แข่งยังเสีย มิดฟิลด์คนสำคัญไปอีก แฟนผีก็น่าจะเบาใจได้แล้วว่าเกมนี้ไม่น่าใช่งานยาก ทว่าเผลอแปปเดียว อยู่ๆ ก็มาเสียจุดโทษซะงั้นในนาทีที่ 15 จากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา พุ่งตัวสไลด์ดักบอลทว่าดันไปกางแขนออกมาชัดเจน แล้วบอลเจ้ากรรมก็พุ่งไปโดนแขนแบบเต็มๆ แม้ว่าดูแล้ว ป็อกบา จะไม่ได้ตั้งใจแล้วจังหวะนั้นก็เหมือนจะไม่ได้ลุ้นอะไร แต่โดนมือชัดขนาดนี้ก็คือแฮนด์บอล และพออยู่ในเขตโทษมันก็ต้องเป็นจุดโทษ ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่ รับหน้าที่สังหารและไม่พลาด โรม่า ตามตีเสมอได้สำเร็จเป็น 1-1 หลังจากโดนตีเสมอ แมนฯ ยู ก็ยังครองเกมจ่ายบอลไปมาหาจังหวะจบ แต่ก็ไม่มีจั๋งๆ จังๆ ส่วน โรม่า ก็รอรับแล้วโต้ ซึ่งมันก็ได้ผลซะด้วย นาทีที่ 33 ทีมเยือนสามารถพลิกขึ้นนำจนได้ โดยเป็นจังหวะที่ มคิห์ทาร์ยาน ที่เจอทีมเก่าแล้วทำแสบจ่ายบอลลอดดาก สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ไปให้ เปลเลกรินี่ หลุดไปในเขตโทษก่อนจะปาดเข้ากลางมาให้ เอดิน เชโก้ ที่ชอบยิง แมนฯ ยู มาตั้งแต่สมัยอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ชาร์จจ่อๆ เข้าประตูไป สถานการณ์พลิกผัน โรม่า บุกแซงขึ้นนำเป็น 2-1  ช่วงท้ายครึ่งแรก ผีแดง มีโอกาสได้ลุ้นตีเสมอจากจังหวะจ่ายผิดพลาดเองของผู้เล่น โรม่า ทำให้ คาวานี่ ได้หลุดเดี่ยวแต่ก็ยิงไปติดเซฟ อันโตนิโอ มิรันเต้ นายด่านมือ 2 ที่ลงมาแทน เปาา โลเปซ ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลังไม่รู้ ผีแดง ไปกินเครื่องดื่มชูกำลังที่ไหน มารึป่าวก็ไม่ทราบเพราะคึกจัดเลย เปิดฉากทำเกมรุกบุกเข้าใส่ตั้งแต่เสียงนกหวีดครึ่งหลังดังขึ้น และได้ประตูตีเสมอเร็วตั้งแต่นาทีที่ 48 จากจังหวะที่ ปอล ป็อกบา วางบอลมาให้ คาวานี่ ตบคืนกลับให้ บรูโน่ แฟร์นันเดส แล้วตัวเองก็วิ่งไปหาช่องในเขตโทษ ก่อนจะตวัดยิงเสียบสามเหลี่ยมเข้าประตูไปอย่างสวยงาม  พอตีเสมอได้เป็น 2-2 โรม่า ก็เสียกระบวนแล้วก็เป็น แมนฯ ยู ที่บุกกระหน่ำขโยกผู้มาเยือนอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าจะเรียกว่าพับสนามบุกก็คงไม่เกินเลยนัก จนกระทั้งมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจนได้ในนาทีที่ 64 จาก เอดินสัน คาวานี่ คนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือไม่ได้ยิงยากเหมือนลูกแรกที่ทำได้ เพราะแปลง่ายๆ หน้าประตูเข้าไป จากจังหวะที่ อารอน วาน บิสซาก้า ซัดไปติดเซฟ อันโตนิโอ มิรันเต้ บอลกระดอนมาเข้าทางให้ยิงง่ายๆ  หลังจากขึ้นนำ 3-2 ผีแดง ก็ยังไม่เพลาเกมบุก เพราะเหมือนจะรู้ว่าเสียอเวย์โกลไป 2 ลูก ต่อให้ชนะ 3-2 ก็ยังเบาใจไม่ได้ หนำซ้ำ โรม่า ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรมาสู้สักเท่าไหร่ ทำให้ แมนฯ ยู เปิดปฏบัติการเดินหน้าฆ่ามันต่อเนื่อง และนาทีที่ 70 ก็หนีห่างเป็น 4-2 ได้สำเร็จ จากลูกจุดโทษที่ คริส สมอลลิ่ง ไปทำฟาล์ว คาวานี่ แล้วก็เป็นมือสังหารเบอร์ 1 อย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส วิ่งเข้ามาซัดไม่พลาดตามคาด ยังครับยัง ทุกท่านมันยังไม่จบง่ายๆ ตอนนี้ ผีแดง เหมือนผีดิบที่กระหายเลือดอยากจะขยี้หมาป่าจากกรุงโรมให้ดับดิ้นสิ้นชีวาวายไปตั้งแต่เลกแรก บวกกับหัวจิตหัวใจของผู้เล่น โรม่า ก็ตกต่ำเสียขวัญไปหมดแล้ว นาทีที่ 75 สกอร์ก็ขาดเละเทะเป็น 5-2 เมื่อ บรูโน่ แฟร์นันเดส (อีกแล้ว) วางบอลตักเข้ามาในกรอบโขตโทษให้ ปอล ป็อกบา เทคตัวขึ้นโขกสะบัดพัดเข้าประตูไป แต่อย่างที่บอกครับ ครึ่งหลังไม่รู้ ผู้เล่นผีแดง ไปกินอะไรมาตอนพักครึ่ง เพราะนำห่าง 5-2 แล้วก็ยังไม่เพลาเกมรุกอยู่ดี จนมาได้ประตูปิดกล่องในนาทีที่ 86 จาก เมสัน กรีนวู้ด ตัวสำรองที่รับบอลจากลูกจ่ายให้ของ คาวานี่ ก่อนจะยิงคมกริบตามสไตล์เข้าประตูไป ฝังเรียบร้อย 6-2 ประตู และจบ 90 นาทีลงไปด้วยสกอร์นี้ ผลแบบนี้แทบจะการันตีได้เลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นก้าวข้าเข้าไป 1 ข้างครึ่ง รอคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็น บียาร์เรอัล หรือ อาร์เซน่อล เพราะจบเกมแรกเป็นเจ้าถิ่น "เรือดำน้ำสีเหลือง" เอาชนะมาได้ 2-1 ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าได้เปรียบอะไรมากนัก เพราะ "ปืนใหญ่" ก็ได้อเวย์โกลกลับมาเหมือนกัน 

แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าคู่ชิงจะเป็นใคร แต่ผลเลกแรกจบแบบนี้แฟนผีน่าจะแฮปปี้และเบาใจไปได้มากกว่า 90% เกมหน้าอาจจะได้เห็นตัวสำรองลงมายืดเส้นยืดสายเยอะหน่อยตามสไตล์ที่นำห่างขนาดนี้ แต่อย่าลืมว่าโลกลูกหนังอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกมหน้าที่กรุงโรม โรม่า เกิดคึกบ้าชนะมา 4-0 ผีแดง ก็ร่วงตกรอบชวดเข้าชิงเหมือนกัน สุดท้ายจะจบอย่างไร คู่ชิงจะเป็นใคร สัปดาห์หน้าได้รู้กัน

 

ชิน ชินพัฒน์

 
logoline