logo-heading

ในที่สุด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็สามารถพาลูกทีมทัพ "เรือใบสีฟ้า" ฝ่าด่านอรหันต์เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จจนได้ หลังพยายามมานานหลายปี และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย โดยเกมนี้สามารถย้ำแค้นเปิดบ้านเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไปได้ 2-0 ประตู รวมผล 2 นัดชนะสบาย 4-1 ประตู เกมนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง มาดูกันดีกว่า

  เริ่มต้นที่การจัดทีมก่อนเลยเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เจ้าถิ่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ผู้เล่นฟลูทีมไม่มีตัวเจ็บไม่มีตัวแบนเลยสักคน วางหมากมาคล้ายๆ เลกแรกคือไม่มีกองหน้าตัวเป้าที่เป็นธรรมชาติลงสนามเลย ใช้พวกตัวรุกอย่าง ฟิล โฟเด้น, ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์ และ แบร์นาร์โด้ ซิลบา สลับกันขับเคลื่อนเกม โดยมี อิลคาย กุนโดกัน กับ แฟร์นันดินโญ่ คอยบัญชาเกมตรงกลางสนามให้ เกมรับก็จัดเต็มสูบหัวใจหลักก็อยู่ที่ รูเบน ดิอาส ที่เกมนี้ก็เล่นดีโคตรๆ ตัดสลับมาดูทางฝั่ง เปแอสเช ผู้มาเยือนกันบ้าง ก่อนเกมมีข่าวออกมาแล้วแหละว่าต้องรอลุ้นเช็คความฟิตของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ กองหน้าคนสำคัญว่าจะสลัดอาการบาดเจ็บฟิตพอลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนี้หรือไม่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ไหว ทำให้มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง แล้วก็เป็น เมาโร อิคาร์ดี้ ที่รับหน้าที่เป็นตัวความหวังแทน ร่วมกับ เนย์มาร์ และ อังเคล ดิ มาเรีย กองกลางก็ขาด อิดริสซ่า กาน่า เกย์ ที่เลกแรกโดนใบแดงมา ทำให้นัดนี้อดลงเป็น อังเดร์ เอร์เรร่า มิดฟิลด์ร่างเล็กรับหน้าที่แทน ร่วมกับ มาร์โก แวร์รัตติ และ เลอันโดร ปาเรเดส แน่นอนว่าในเมื่อเลกแรก ปารีส แพ้คาบ้านมา 2-1 โดนเก็บอเวย์โกลมาถึง 2 เม็ด นั่นหมายความว่าพวกเขาควรจะต้องเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ "เรือใบสีฟ้า" แบบจัดหนักจัดเต็มตั้งแต่เริ่ม แต่การขาด คีเลียน เอ็มบัปเป้ ไปก็ทำให้พิษสงและความน่ากลัวในเกมรุกหายไปเยอะพอสมควร บวกกับ เป๊ป เองก็วางหมากมาอย่างรัดกุม ทำให้ เปแอสเช ได้แต่ครองบอลไปมาหาจังหวะจบเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ยิงไปก็ติดบล็อค แต่นาทีที่ 7 ก็มีเกือบได้จุดโทษให้แฟนเรือใบเสียวเล่นเหมือนกัน จากจังหวะที่บอลเปิดจากด้านซ้ายย้ายมาในเขตโทษ แล้วเหมือนจะไปโดนแขนของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ แบ็กซ้าย แมนฯ ซิตี้ ผู้ตัดสินไม่รอช้าเป่าให้เป็นจุดโทษก่อนเลย แล้วค่อยรอเช็ค VAR ซึ่งพอผล VAR ออกมา แฟนปารีส ก็หงายเงิบเพราะบอลไปโดนไหล่แบบชัดเจนทำให้ ผู้ตัดสินกลับคำริบจุดโทษคืน เรือใบ รอดตัวไป ไม่ได้จุดโทษยังไม่เท่าไหร่ แค่ 4 นาทีต่อมา ยังเจ็บช้ำหัวใจไม่ทันหาย ก็มาโดนขึ้นนำซะอย่างงั้น และน่าจะเป็นการขึ้นเกมที่ได้ลุ้นครั้งแรกของ แมนฯ ซิตี้ ในเกมนี้ด้วย โดยเป็นจังหวะที่ เรือใบ สวนกลับมา เควิน เดอ บรอยน์ ได้ซัดบริเวณเส้นเขตโทษไปติดบล็อคแนวรับ เปแอสเช แต่บอลก็ยังกระดอนไปเข้าทาง ริยาด มาห์เรซ วิ่งเข้ามาซัดตามน้ำด้วยขวา ผ่านมือ เคย์เลอร์ นาบาส เข้าประตูไป ส่งให้ เรือใบ ออกนำ 1-0 พร้อมกับขยับสกอร์รวมหนีเป็น 3-1 พอโดนนำก่อนแบบนี้ เปแอสเช ก็ยิ่งรีบยิ่งรนพยายามจะบุกเข้าใส่ แมนฯ ซิตี้ หวังทวงประตูตีเสมอในเกมนี้ให้ได้ก่อน แต่ก็อย่างที่บอกไปครับว่าพอไร้ เอ็มบัปเป้ แล้ว ความน่ากลัวในเกมรุกของ ปารีส ลดน้อยลงมาก แถมเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ก็ทำได้โคตรดี คือปล่อยให้ครองบอล ปล่อยให้ทำเกมรุกนะ แต่จังหวะสุดท้ายเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ เก็บกินได้เกือบหมด มีได้ลุ้นหน่อยก็จังหวะที่ ดิ มาเรีย เปิดให้ มาควินญอส โหม่งชนคาน กับจังหวะที่ ดิ มาเรีย ดักบอลจากความผิดพลาดของ แมนฯ ซิตี้ ได้ แต่ก็เร่งจังหวะตัวเองไปทำให้ยิงเฉี่ยวเสา ส่วน ซิตี้ ที่ครองบอลน้อยกว่า แต่เล่นรอจังหวะสวนกลับ ก็มีสวนมาให้เสียวได้เรื่อยๆ เช่นกัน แต่สุดท้ายก็จบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลัง จากที่คิดว่าน่าจะได้เห็น คีเลียน เอ็มบัปเป้ ลงมาแก้เกม แต่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ยังไม่เลือกใช้ และยังไม่เปลี่ยนใครสักคน เช่นเดียวกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ยังยึด 11 ผู้เล่นชุดเดิม กลับมาลงเล่นในครึ่งหลัง ช่วงต้นๆ รูปเกมก็ยังเหมือนเดิม คือ เรือใบ ปล่อยให้ ปารีส ครองบอล แต่ไม่ให้จบแบบเหน่งๆ แล้วก็รอสวนทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นว่า ผู้เล่นปารีส หมดความอดทน และเริ่มพลาดกันเอง เรียกง่ายๆ คือรู้สึกเหมือนถอดใจ จนกระทั่งนาทีที่ 63 เรือใบ ก็ดับความหวังการผ่านเข้าชิงชนะเลิศของ เปแอสเช ไปอย่างหมดสิ้น จากจังหวะโต้กลับ เควิน เดอ บรอยน์ ทำชิ่งวันทูกับ ฟิล โฟเด้น หลุดไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะปาดย้ายเข้ามาให้ ริยาด มาห์เรซ คนดีคนเดิมวิ่งเข้ามาแท็บอินง่ายๆ เข้าประตูไปกลายเป็น 2-0 และสกอร์รวมคือ 4-1 ซึ่งถ้า เปแอสเช อยากพลิกเข้ารอบต้องยิง 3 ประตู และห้ามเสียเพิ่ม ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เหลือนี้ ซึ่งด้วยรูปเกมแบบนี้ เจอคู่แข่งและกุนซือระดับนี้ ที่รังเหย้าของพวกเขาด้วย บอกได้คำเดียวว่า หมดสิทธิ์ และก็ดูเหมือนว่าผู้เล่นเปแอสเช จะรู้ชะตากรรมและคิดเช่นนั้น เพราะหลังจากโดนเม็ด 2 ก็ดูถอดใจกันไปอย่างเห็นได้ชัด หนำซ้ำ อังเคล ดิ มาเรีย ดันมาตบะแตกควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เจตนาย่ำไปที่ข้อเท้าของ แฟร์นันดินโญ่ จนโดนใบแดงไล่ออกไปในนาทีที่ 69  ลำพัง 11 คนเท่ากันก็สู้ไม่ได้แล้ว นี่มาเหลือ 10 คนอีก ก็เลิกหวังซะเถอะ ช่วงเวลาที่เหลือไม่โดนเม็ด 3 ก็บุญโขแล้ว และ โปเช็ตติโน่ เองก็เหมือนจะยอมรับความพ่ายแพ้ รู้ชะตากรรม ไม่เสี่ยงส่ง เอ็มบัปเป้ ลงมาแก้เกมด้วย เดี๋ยวลงมาแล้วเจ็บเพิ่ม จะลำบากไปถึงการลุ้นแชมป์ ลีกเอิง ที่ตอนนี้เป็นที่ 2 รองจาก ลีลล์ ไปอีก

สุดท้ายจบ 90 นาที ไม่มีปาฏิหารย์อะไรใดๆ เกิดขึ้นที่ อิติฮัท แมนฯ ซิตี้ สามารถฝ่าด่าน ยักษ์ใหญ่แห่งแดนน้ำหอม เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ซึ่งจะรอพบกับผู้ชนะระหว่าง เชลซี กับ เรอัล มาดริด ที่เลกแรกเสมอกันมา 1-1 ประตู ที่สเปน

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline