logo-heading

ย้อนกลับไปสมัยวัยเด็ก ใครๆก็อยากเป็น ฮีโร่ กันทั้งนั้นแหละครับ บ้างอยากเป็น ไอร่อนแมน, บ้างก็อยากแข็งแกร่งเหมือน กัปตัน อเมริกา หรือ จะเป็นจอมพลังแบบขบวนการ 5 สี

ฉะนั้นคำว่า ฮีโร่ มันจึงถูกฝังลึกลงใน เซรีบรัม เพราะ ฮีโร่ ก็เป็นเหมือน วีรบุรุษ หรือ ชายผู้กล้าหาญ ที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต หากเป็นโลกฟุตบอล ลิโอเนล เมสซี่ ก็เหมือนฮีโร่ของคน อาร์เจนติน่า ที่พาทีมคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครองได้สำเร็จ

แม้กระทั่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็เป็นฮีโร่ ของคน โปรตุเกส ในการคว้าแชมป์ ยูโร 2016 มาครอบครอง ต่อให้เขาจะบาดเจ็บ ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม ฮีโร่ ไม่ได้ถูกจดจำได้เสมอไป เพราะ วีรบุรุษที่ถูกลืม มีให้เห็นเยอะแยะมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นที่กำลังจะพูดถึงก็คือ เอแดร์ ชายผู้ทำประตูชัยให้กับทัพ "ฝอยทอง" ซิวเจ้ายุโรป เมื่อ 5 ปีก่อน เอแดร์ เป็นตัวสำรองที่ลงสนามมาแทน เรนาโต้ ซานเชซ ในช่วงก่อนเข้าสู่ 10 นาทีสุดท้าย ของรอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2016 นัดพบกับทีมชาติฝรั่งเศส ก่อนที่เขาจะสวมบทฮีโร่ ตะบันด้วยเท้าขวาบอลพุ่งเสียบมุม ให้ โปรตุเกส ออกนำนาที 109 และ เป็นประตูชัยพาประเทศชาติ ซิวแชมป์ ยูโร หนแรกในประวัติศาสตร์  แต่ชัยชนะวันนั้น เอแดร์ ถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น เขาแค่ถูกพูดถึงว่าเป็นคนยิงประตูชัย ไม่ใช่ฮีโร่ตัวจริง เพราะ สปอร์ตไลท์ทุกอย่างฉายไปหา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ .. และ ยังมีอีกหลายๆคน ที่ชีวิตรุ่งโรจน์ ได้ขยับขยายบนเส้นทางลูกหนัง แต่กับ เอแดร์ เขายังเป็นผู้เล่น ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงอยู่เหมือนเดิม .. และ ก็ไม่มีข้อเสนอยื่นเข้ามาแต่อย่างใด .. ถึงแม้หลายคนจะบอกว่า เอแดร์ คือฮีโร่ แต่คนเหล่านั้นก็ลืม เอแดร์ เช่นกัน เพราะหลังจาก ดาวเตะสายเลือด กินี-บิสเซา ทำประตูชัยให้กับ โปรตุเกส เขาก็ยังอยู่กับ ลีลล์ ด้วยผลงานที่ก็ไม่ได้กระเตื้องมากนัก 31 นัด ยิงไป 6 ประตู บนเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อฤดูกาล 2016-17 ต่อมาเขาก็หลุดออกจากวงโคจร 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ย้ายไปเล่นให้กับ โลโคโมทีฟ มอสโก ในลีกรัสเซีย ในซีซั่นถัดมา ถึงแม้ลีกหมีขาว จะมีชื่อเสียงในลีกยุโรป แต่มันก็ทำให้ เอแดร์ แทบไม่ได้ถูกพูดถึงอีกเลย อีกทั้ง 4 ฤดูกาลกับ โลโคโมทีฟ เขายิงในลีกรวมกันเพียงแค่ 10 ลูก เท่านั้น จึงไม่แปลกที่ชื่อเขาของจะหายไปในกลีบเมฆ เผลอๆหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่านัดชิงชนะเลิศ ยูโร 2020 ระหว่าง ทีมชาติอิตาลี กับ ทีมชาติอังกฤษ คนที่ได้รับเกียรติอัญเชิญโทรฟี่มาวางก่อนเกมจะเริ่มขึ้น ณ สนามเวมบลีย์ ต่อหน้าแฟนบอล 65,000 คน ก็คือ เอแดร์ .. อย่างน้อย สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป ก็ยังคงนึกถึง เพราะเวลา 5 ปี มันนานเพียงพอ ให้หลงลืมใครสักคน ที่ไม่ได้มีบทบาทในชีวิตมากนัก .. จะว่าไป เอแดร์ ก็คงเคยชิน กับการถูกลืมอยู่บ่อยๆ เพราะนับตั้งแต่ที่ สวอนซี ซิตี้ เคยทุ่มเงิน 5 ล้านปอนด์ ซื้อตัวมาจาก บราก้า เพื่อสู้ศึกในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อปี 2015 เขากลับยิงไม่ได้สักประตูเดียว ตลอดการลงเล่น 15 นัด .. จากความคาดหวัง กลายเป็นถูกเลหลัง เพียงครึ่งซีซั่น หงส์ขาว ก็ยอมตัดใจให้ ลีลล์ ยืมตัว แต่การย้ายทีมครั้งนั้น เหมือนโชคชะตากำหนด 13 นัด เขายิงให้ ลีลล์ ไป 6 ประตู ตีตั๋วขึ้นเครื่องบินไปกับขุนพล โปรตุเกส แบบฉิวเฉียด ได้เล่นกับทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, นานี่ และ เปเป้ .. ซึ่งหาก เอแดร์ ไม่โชว์ฟอร์มกับ ลีลล์ วันนั้น ก็คงไม่ได้เป็นฮีโร่ซัดให้ ฝอยทอง จารึกเป็นแชมป์แบบทุกวันนี้ ถึงกระนั้น ถึงแม้เขาจะเป็นฮีโร่ให้กับ โปรตุเกส แต่อย่างที่บอก เขาคือฮีโร่ ที่ถูกลืม เพราะความดีที่ได้ขีดเขียนลงบนประวัติศาสตร์ชาติ ไม่อาจสร้างความมั่นคงให้กับเขาได้เลย ผลงานของเขามัน สาละวันเตี้ยลงด้วยซ้ำ ถึงขั้นล้มเหลว ไม่มีชื่อติดทัพ ฝอยทอง ไปลุย ฟุตบอลโลก 2018 นับตั้งแต่เหตุการณ์นัดชิงชนะเลิศ ยูโร 2016 ผ่านมาแล้ว 5 ปี ตอนนี้ เอแดร์ กลายเป็นคนไร้สังกัด เดินเตะฝุ่นมาได้สักพัก หลังหมดสัญญากับ โลโคโมทีฟ มอสโก .. เขาไม่สามารถโชว์พลังงานบางอย่าง เหมือนที่เคยทำ เพื่อพิสูจน์ให้กับทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปได้เห็นอีกแล้ว

การปรากฎตัวของ เอแดร์ ที่เวมบลีย์ เหมือนเป็นแค่การนึกถึงกับ ฮีโร่ ที่ถูกลืม

ก็หวังว่าเขาจะกลับมาได้งานในเร็ว ๆ นี้นะครับ 

ฮาย ฮาวดี้

logoline