logo-heading

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ 4 ผ่านพ้นไปแล้วเรียบร้อย เริ่มเห็นเค้าโครงแล้วว่าฤดูกาลนี้ จะมีทีมไหนได้ลุ้นแชมป์ แน่นอนว่าก็คงหนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ออกสตาร์ทด้วยการไร้พ่าย และ เก็บแต้มขึ้นเลข 2 หลักเรียบร้อย

ส่วนทีมอื่นที่ถูกมองว่าจะขึ้นมาต่อกรแบบสูสี อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซน่อล แต่ดูแล้วโอกาสไม่ได้แจ่มใสขนาดนั้น ถึงแม้หนทางอีกยาวไกล แต่ด้วยปัจจัยเหล่านี้ อาจบ่งชี้ได้ว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 จะมีเพียง "หงส์แดง" กับ "เรือใบสีฟ้า" ลุ้นแชมป์

1. โดนทีมเล็กตบ การจะเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ ประการแรกเลยคือเวลาคุณเจอกับทีมที่เป็นรอง คุณจะต้องเก็บ 3 คะแนนให้ได้สถานเดียว เพราะถ้าเกิดพลาดสะดุด ไม่ว่าจะเสมอหรือแพ้ เรียกว่า "เสียหายหลายแสน" ดูอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล พวกเขาทั้ง 2 ทีม แทบไม่พลาดเลย ต่อให้จะเจอกับงานที่ยากลำบาก หรือ ถูกตั้งรับลึกเลยก็ตาม ผิดกับ เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ อาร์เซน่อล ที่มีหลายเกมมากๆ ที่พวกเหล่าไม่สามารถเอาชนะทีมที่เป็นรองได้ อย่างเช่น "สิงห์บลูส์" นำ 2-0 แต่กลับฆ่า เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่ตายกลับโดนตีเสมอ 2-2, ขณะที่ "ปีศาจแดง" ก็ถึงขั้นแพ้ คริสตัล พาเลซ คาบ้าน หรือ เสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่เหลือ 10 คน ขนาด ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เป็นทีมลุ้นแชมป์มาตลอด ก็ปราชัยต่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มาแล้ว 2. ปัจจัยเรื่องผู้เล่น ปัจจัยเรื่องผู้เล่นก็สำคัญอย่างยิ่ง ในการเดินหน้าไล่ล่าคว้าแชมป์ เพราะฟุตบอลลีกไม่ได้แข่งนัดเดียวจบ หรือเตะ 10 แมตช์ได้แชมป์ ฉะนั้นปัจจัยเรื่องผู้เล่นย่อมสำคัญ โดยเฉพาะการหมุนเวียนนักเตะ หรือ อะไหล่สำรอง ที่จะต้องก้าวขึ้นมา ยามที่ตัวจริงได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เสริมใครมาเลยในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่ทว่า 11 ตัวจริง ของพวกเขาแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว จะมีเพียง อลิสซอน เท่านั้นที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วนคนอื่นยังใช้งานได้ดี และ งัดฟอร์มเทพได้เหมือนเดิม ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่ต้องพูดถึง พวกเขามีขุมกำลังที่เรียกว่า "ใครลงมาเล่นก็ได้" นับเป็นปัจจัยสำคัญมากกับการไล่ล่าโทรฟี่ หากหันมามองอีก 4 ทีมที่เหลือ เริ่มจาก เชลซี พวกเขาเจอปัญหาหนักจากการโดนแบน โดยเฉพาะเกมรับที่เห็นชัดเลยว่าชุดนี้ "สอบตก" ขณะที่ "ปีศาจแดง" ถึงแม้จะได้ อาร่อน วาน-บิสซาก้า กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มาเติมเต็มเกมรับแล้ว แต่มันก็ยังมีช่องโหว่จากเกมรุก ที่ไม่เฉียบขาดในการจบสกอร์ และ ตัวสำรองที่ลงมาก็ทดแทนกันไม่ได้ ส่วน อาร์เซน่อล เกมรุกนี่ดูจะสุดยอดมาก เพราะมีตัวจี๊ดๆมากมาย และ ได้ นิโคลัส เปเป้ เข้ามาเสริมทัพ แต่ปัญหาของพวกเขาก็ยังเดิมๆ ทั้งเรื่องของมิดฟิลด์ตัวรับ และ เกมรับอันหละหลวม ส่วน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ดูเหมือนว่าช่วงที่ขาด ซน ฮึง-มิน กับ เดเล่ อัลลี ไปนั้น จะส่งผลกระทบอย่างยิ่ง 3. ผลงานในบ้าน เกมในบ้านเป็นอะไรที่ ทีมลุ้นแชมป์ จะต้องพิถีพิถันสุดๆ เพราะได้เปรียบคู่แข่งทั้งเรื่องสภาพแวดล้อม, ความคุ้นชินของสนาม และ เสียงจากแฟนบอลจากทุกสารทิศ ฉะนั้นการเล่นที่รังเหย้าตัวเอง การเก็บ 3 คะแนน คือโจทย์ที่พวกเขาต้องทำให้ได้ ซึ่ง ลิเวอร์พูล ไม่ได้แพ้ในบ้านตัวเอง นับเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาแล้วถึง 42 นัด ปัจจุบันเก็บ 3 แต้ม ที่ถิ่นแอนฟิลด์ มาแล้ว 9 นัดรวด ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ในบ้านพวกเขาไร้พ่ายมา 11 นัดติด โดยหลุดเสมอแค่ 1 นัด กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-2 ซึ่งก็เป็นทีมใหญ่ด้วยกัน ผิดกับ 4 ทีมชั้นนำที่เหลือ ฤดูกาลนี้ ทำพลาดให้เห็นกันมาหลายทีมแล้ว อย่าง เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังเก็บ 3 แต้ม ณ แสตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้เลย, สเปอร์ส ก็แพ้คาบ้านมาให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เช่นเดียวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปราชัยต่อ คริสตัล พาเลซ จะมีก็ อาร์เซน่อล ที่ผลงานในบ้านซีซั่นนี้ยังดีคือ ชนะ 1 และ เสมอ 1 นัด ซึ่งต้องรอดูกันยาวๆ 4. ความสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอ ก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้ทีมลุ้นแชมป์ มีโอกาสเข้าป้ายชูถ้วยโทรฟี่ อย่างฤดูกาลก่อน แมนฯ ซิตี้ เก็บได้ 98 คะแนน ขณะที่ ลิเวอร์พูล แพ้ไปเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของ 2 ทีมนี้สูงมาก โดยเฉพาะช่วงท้ายซีซั่นแทบจะไม่พลาดกันเลย ผิดกับอีก 4 ทีม ถ้าจำกันได้ ช่วงท้ายฤดูกาลแข่งกันพลาดรัวๆ ทั้งๆที่มีพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นสิ่งจูงใจ มาฤดูกาลนี้บอกเลยว่า เชลซี แทบหลุดจากวงโคจรไปแล้ว เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คงลุ้นท็อปโฟร์เช่นเดิม คำถามคือ อาร์เซน่อล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จะคงเส้นคงวาตลอดทั้งซีซั่นเหมือนกับ ลิเวอร์พูล หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้หรือไม่
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline