logo-heading

ท่ามกลางกระแสที่ผู้คนกำลังโต้เถียงกันว่าทำไม เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังตัวเก่งของ ลิเวอร์พูล ถึงไม่ได้รางวัล "บัลลง ดอร์" ทั้งที่เป็นคีย์แมนพา "หงส์แดง" เถลิงบัลลังค์ครองเจ้ายุโรป สมัยที่ 6 หรือ เพราะว่าเขาเป็นกองหลัง ไม่ได้มีโคตรสถิติยิงประตูต่อซีซั่น แบบ ลิโอเนล เมสซี่

กระนั้น ฟาน ไดค์ ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง หรือ จะออกอาการว่าการพลาด "บัลลง ดอร์" มันจะเป็นจุดจบของชีวิต ..

"ผมภูมิใจมาก ๆ ที่ได้อยู่ลิสต์ชิง บัลลง ดอร์ ผมได้อยู่ตรงนั้น เพราะผลงานที่ผมมีกับสโมสรและทีมชาติเมื่อปีก่อน ไม่ว่าใครจะได้รางวัล มันจะไม่มีใครเป็นผู้แพ้ในค่ำคืนนี้" ก่อนที่เซ็นเตอร์แบ็ควัย 28 ปี จะทิ้งท้ายหลังพิธีมอบรางวัลว่า "ลิโอเนล เมสซี่" คู่ควร ไม่ใช่ว่า ฟาน ไดค์ จะพูดเอาหล่อ เพราะต่อให้ความสำเร็จเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วเหมือนเหยียบคันเร่ง 180 กิโลเมตร / ชั่วโมง จนผู้คนลืมเบื้องหลังไปว่ากว่าที่ ดาวเตะค่าตัว 75 ล้านปอนด์ จะก้าวมาถึงตรงจุดนี้ มาถึงจุดที่กองหลังคนหนึ่ง ได้ต่อสู้เบียดแย่งรางวัลส่วนตัวกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ สองซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนัง จะต้องผ่านมรสุมชีวิตอะไรมาบ้าง นักฟุตบอลบางคน มีพร้อมทุกอย่าง เพียงแค่งัดพรสววรค์ออกมาใช้ แต่ผู้เล่นบางคน ก็ต้อง "ปากกัด ตีนเตะ" กว่าจะผลักดันให้ชีวิตก้าวขึ้น ซึ่ง ฟาน ไดค์ ต้องผ่านมาทั้งการถูกหักหลัง, เฉียดตาย และ มีสถานะเป็นเคยเป็นเพียงเด็กล้างจานมาก่อน ฟาน ไดค์ อุทิศชีวิตให้กับ วิลเล่ม ทเว สโมสรที่อยู่ใกล้กับเมืองบ้านเกิด เล่นอยู่ในศูนย์ฝึกเยาวชน แบบที่ไม่ได้ค่าเหนื่อยสักแดงเดียว เพื่อหวังว่าเขาจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักให้กับสโมสร แต่ทว่าตอนนั้นเขาไม่ได้สูงเป็น "บิ๊กเฟอร์จิล" แบบฉายาในปัจจุบัน และ ต้องเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา บางครั้งความฝัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และ เมื่อเป็นแบบนั้นความผิดหวังจึงเกิดขึ้น ฟาน ไดค์ ยอมรับตามตรงว่าเขาเหมือนถูกหักหลัง เพราะ วิลเล่ม ทเว ต่างลงความเห็นว่า "นายคงไม่มีเส้นทางที่ดีในอาชีพฟุตบอล" ความรักของ ฟาน ไดค์ ที่มีต่อ วิลเล่ม ทเว เหมือนเอามีดปักกลางหัวใจ เพราะอย่างที่บอกเขาไม่ได้รับเงินจากสโมสรสักบาท เขาจำเป็นต้องใช้ร่างกาย ที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม สมัยอายุ 15-16 ปี เตะบอลไปด้วย และ ทำอาชีพเสริมไปด้วย โดยเป็นพนักงานล้างจาน ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ปราการหลังชาวดัตช์ ต้องใช้เวลาวันจันทร์, วันอังคาร, วันพฤหัสบดี เพื่อฝึกซ้อมทักษะลูกหนัง และ ลงแข่งฟุตบอลในวันเสาร์ ส่วนวันว่างอย่าง พุธ กับ อาทิตย์ เขาก็จะใช้เวลามาทำอาชีพล้างจาน ตั้งแต่ช่วง 6 โมงเย็น ถึง เที่ยงคืน ทุกสัปดาห์ เพื่อนำเงิน 350 ยูโร ต่อเดือน มาใช้สำหรับการเดินทาง ซึ่งหากมันเหลือจากการพอกินพอใช้ ก็จะมาไปเลี้ยง "แม็คโดนัลด์" เพื่อนๆอยู่เสมอ การทำอาชีพเป็นเด็กล้างจาน ดูเหมือนจะไปได้ดีกว่าเส้นทางการเป็นนักฟุตบอล .. และ เจ้าของร้านที่ ฟาน ไดค์ เคยทำงานก็เห็นด้วยแบบนั้น ชัคส์ ลิปส์ เจ้าของร้านอาหารได้เล่าให้ฟังว่า "ฟาน ไดค์ คือพนักงานชั้นเยี่ยม เขาออกแรงขัดอย่างหนักหน่วงและทำงานได้อย่างดีเลย เขาจะอยู่ที่ร้าน ตลอดสองคืนที่มีลูกค้าเยอะที่สุดของสัปดาห์ ตอนนั้น ฟาน ไดค์ ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อพยายามเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และ ก็ได้เข้าเป็นนักเตะเยาวชนของ วิลเลียม ทเวย์ ที่อยู่ใกล้ๆบ้านของเขา" "เมื่อไหร่ที่เสร็จงาน พ่อของ ฟาน ไดค์ จะมารับเสมอ ซึ่งผมก็ได้พูดกับเขาบ่อยๆว่าเขาควรล้างหม้อให้มากกว่านี้ และ ให้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เสียเถอะ เพราะถ้านายทำงานอยู่ที่นี่ นายก็มีโอกาสได้เงิน เพราะเขาเล่นฟุตบอล เขาไม่ได้อะไร" อย่างไรก็ตาม ฟาน ไดค์ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ในความสิ้นหวังที่เหมือนจะมีแต่จุดมืดมิด มักมีแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ให้เห็น โกรนิงเก้น เป็นเหมือนผู้ชุบชีวิตความฝันของ ฟาน ไดค์ ให้มันมีชีวิตชีว่าซาบซ่าอีกครั้ง .. เพราะเป็นสโมสรที่เห็นว่านี่คือ "เพชรที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน" และ ได้เซ็นสัญญาคว้าตัวมาร่วมทีม ด้วยคำพูดต่างๆ ความรู้สึกพรั่งพรูไปด้วยความอิ่มเอมใจ .. แต่ ฟาน ไดค์ กลับต้องเจอมารผจญอีกครั้ง และ ครั้งนี้มันเลวร้ายเกือบถึงขั้นเอาชีวิตออกไปจากโลกอันแสนกว้างใหญ่ เพราะสมัยที่ ฟาน ไดค์ มาอยู่ โกรนิงเก้น จู่ๆ ก็มีอาการปวดท้องรุนแรง ทำให้ทีมแพทย์ต้องสั่งห้ามให้เขาหยุดซ้อม และ ให้ไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล แต่ด้วยความเป็นเด็ก ฟาน ไดค์ กลับดื้อแพ่ง และ ไม่ยอมไปหาหมอตามคำสั่งทีมแพทย์ ทว่าเขาฝืนอาการไม่ไหว ต้องให้อดีตเพื่อนร่วมทีมไปส่งโรงพยาบาล ปรากฏว่าหมอที่โรงพยาบาลนั้น บอกว่า ฟาน ไดค์ แข็งแรงดี และ ให้ยาแก้ปวดมากินเท่านั้น แต่อาการมันไม่ทุเลาลง แม่ของเขาคือที่พึ่งสุดท้าย แม่บังเกิดเกล้า ขับรถ 3 ชั่วโมง เพื่อมาดูอาการลูกชาย ที่กำลังนอนทุรนทุรายเอามือกุมท้องด้วยความทรมาน กระทั่งต้องไปพบหมออีกครั้ง และ ก็ได้คำตอบว่า "ไส้ติ่งแตก" หากมาช้ากว่านี้อีกประมาณ 48-72 ชม. อาจถึงขั้นเสียชีวิต เมื่อได้รับการรักษา โกรนิงเก้น คือสโมสรที่ให้ประสบการณ์แรกกับเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ และ สร้างชื่อจนได้ย้ายไปอยู่กับ กลาสโกว์ เซลติค คว้าแชมป์ลีกสก็อตติช 2 สมัย แบบหนำใจ ก็มีโอกาสมาอยู่ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน และ นั่นเป็นสถานที่ชุบเลี้ยงชั้นดี เพราะ "นักบุญแดนใต้" เป็นเหมือนทีมที่ปั้นนักเตะ ให้กับ ลิเวอร์พูล มาจับจ่ายใช้สอย จริงๆ "ฟาน ไดค์" ต้องอกหักดังเปร๊าะ เพราะความฝันไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล กลายเป็นสสารที่ล่องลอยในอากาศ เขาพยายามบีบสโมสร ด้วยการไม่ไปฝึกซ้อม เมื่อหัวใจเปลี่ยนไปให้กับ "หงส์แดง" แต่เพียงผู้เดียว .. บางทีความรักมันก็ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หากความรักนั้นมันคือเรื่องจริง จะต้องโคจรมาพบกันอีกครั้ง ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อดทนอดกลั้น ไม่ซื้อกองหลังมาเพิ่มเลยสักคนเดียว เพื่อขอรอเพียงแค่ ฟาน ไดค์ คนเดียวเท่านั้น สุดท้ายมกราคม ปี 2018 งานเลี้ยงก็เกิดขึ้น เมื่อ "หงส์แดง" ประกาศคว้า ฟาน ไดค์ ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกแนวรับขณะนั้น 75 ล้านปอนด์ .. เครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นมากมาย ว่าค่าตัวขนาดนี้ แพงไปหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองอะไรมากมาย และ ไม่เห็นจะประสบความสำเร็จมากตรงไหน .. ถึงตรงนี้ผลงานของ ฟาน ไดค์ มีคำตอบให้ในตัว กับคำถามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเกือบราวๆ 2 ปีก่อน อยู่แล้ว ว่าค่าตัว 75 ล้านปอนด์ มันแพงไป หรือ คุ้มค่า ? เพราะ ฟาน ไดค์ เขามาเปลี่ยนโฉมแนวรับ ให้ ลิเวอร์พูล ลบวลี "กองหลังเวิลด์แก๊ส" หรือ คำสบประมาทที่บอกว่า "เสียเตะมุม เหมือนเสียจุดโทษ" ออกไปจนหมดสิ้น ฟาน ไดค์ มีส่วนสำคัญทำให้ ลิเวอร์พูล เสียประตูน้อยที่สุดในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แค่ 22 ประตู, ไม่มีใครล็อคหลบผ่านเข้าได้เลย เมื่อซีซั่นก่อน และ ที่สำคัญเป็นคีย์แมนนำทัพ "หงส์แดง" คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 มาครอง ใครจะเชื่อล่ะครับว่า จากเด็กล้างจานบ้านๆคนหนึ่ง ทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จะผ่านมรสุมชีวิต ก้าวมาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ ยูฟ่า ด้วยการเอาชนะโคตรลูกหนังอย่าง โรนัลโด้ และ เมสซี่ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ฟาน ไดค์ จะต้องพลาดรางวัล "บัลลง ดอร์" ไปก็ตาม แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ และ โจษจัน ไปทั่ว ถึงเขาไม่ได้รางวัลมาครอง มันก็ไม่ใช่จุดจบของชีวิต เพราะบางครั้งการชนะใจใครหลายๆคนก็เพียงพอแล้ว

ฮาย ฮาวดี้ -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline