logo-heading

ในภาพยนตร์เรื่อง "The end of storm" มีคำถามหนึ่งพุ่งยิงตรงใส่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ว่า "เกมรุกที่ดีจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" จริงเหรือเปล่า ? หลังจากที่ทุ่มซื้อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เข้ามาเป็นแกนหลัก จนประสบความสำเร็จ ..

แต่คำตอบ คล็อปป์ กลับฉีกแนวเดิมๆที่เราเคยได้ยิน ด้วยการตอบกลับคนตั้งคำถามไปว่า "แล้วทำไมคุณไม่ทำ 2 อย่าง ทั้งแนวรุกและแนวรับ ให้มันดีทั้งหมดล่ะ ?"

เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น ก็พลันคิดขึ้นในใจว่าจริงๆแล้ว คำตอบนี้ "คล็อปป์ ไม่ได้โผงผาง พูดจาเอาเท่แต่อย่างใด" เพราะประโยคนี้แหละครับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดกุนซือชั้นอ๋องแห่งค่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เพิ่งทำให้เห็นเป็นเคสล่าสุด ว่าคุณต้องทำทีมให้ครบเครื่อง ทั้งรุกและรับ ย้อนกลับไปซีซั่นก่อน แมนฯ ซิตี้ เสียแชมป์ให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยการตามหลังถึง 18 คะแนน นับเป็นความพ่ายแพ้ย่อยยับ เรียกว่ายกธงขาวไปตั้งแต่เลยกลางฤดูกาล สาเหตุที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเกมรุก หรอกนะครับ พวกเขายิงไปถึง 102 ประตู มากกว่า หงส์แดง ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เป็นจุดอ่อน ทำให้ เรือใบสีฟ้า ต้องเข้าป้ายเป็นแค่พระรอง เพราะเกมรับอันหละหลวม และ นักเตะบาดเจ็บเต็มทีม .. อายเมริค ลาปอร์ต เจ็บคนเดียวสะเทือนทั้งทีม ไหนจะ จอห์น สโตนส์ ก็ 3 วันดี 4 วันไข้, จะไปเอา นิโคลัส โอตาเมนดี้ มายืน ก็รั่วเป็นบ่อน้ำมัน ถึงขั้นต้องถอย แฟร์นานดินโญ่ มายืนเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็น ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก ทำให้ตลาดซัมเมอร์ปีที่ผ่านมา เรือใบสีฟ้า เน้นเสริมแต่แนวรับมาร่วมทีม ต่อให้เสีย ดาบิด ซิลบา ออกไป ก็ไม่สน เพราะแนวรุกโคตรโหดอยู่แล้ว และ นั่นจึงเป็นการอิมพอร์ทเข้ามาของ รูเบน ดิอาส กองหลังวัย 23 ปี จาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวสูงถึง 62 ล้านปอนด์ ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คือการแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-5 ช่วงออกสตาร์ทซีซั่น ถามว่าเสี่ยงมั้ย ? ก็เสี่ยงแหละครับ เพราะ รูเบน ดิอาส ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับยุโรป อายุอานามก็อยู่ในเกณฑ์ยังไม่พ้นดาวรุ่ง และ ก็ไม่ได้มาซ้อมช่วงปรีซีซั่นกับทีม แต่กระนั้นหากพิจารณาเพ่งลึกลงไปกว่านั้น เขาเล่นให้กับ เบนฟิก้า ชุดใหญ่ มานานถึง 3 ซีซั่น ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ เรือใบสีฟ้า เรียกว่า ประสบการณ์ก็พอตัวเหมือนกัน อีกทั้งมีดีกรีเป็นแชมป์ลีก เท่านั้นไม่พอ กับทีมชาติโปรตุเกส ก็ซิวโทรฟี่ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก มาครอง !! ดังนั้นถ้าฝีเท้าไม่ดีจริง ไม่เตะตาจริง ทีมงาน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงไม่ทุ่มเงินมหาศาลมากขนาดไหน .. ที่สำคัญ ดิอาส ย้ายมาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็กตัวจริง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องฝีเท้า แต่เป็นทัศนคติที่เขาเอาจริงเอาจังกับฟุตบอลมากเหลือเกิน แค่ปล่อยให้คู่แข่งยิงตรงกรอบ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้" "สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดไม่ใช่แค่คลีนชีต มันต้องเป็นการที่ทีมอื่นยิงตรงกรอบไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดก็คือผู้รักษาประตูของผมไม่ต้องช่วยเซฟอะไรเลย" ดิอาส เปิดใจเมื่อเขาพาทีมเก็บคลีนชีต ถึง 15 นัด จาก 23 เกมแรกของเขากับต้นสังกัด และ ทำให้ทีมเสียไปแค่ 9 ลูกเท่านั้น ความสำคัญของ ดิอาส เหมือนเข้ามาทดแทนการจากไปของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ตำนานกองหลังกัปตันทีม เพราะไม่ว่าซีซั่นนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะแกงคนเล่นจัดทีม "ขอบสนาม จีจี" มากแค่ไหน แต่หนึ่งในนักเตะที่เขาแทบไม่โรเตชั่นเลย คือ รูเบน ดิอาส โดย 34 นัด ที่ผ่านมาในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เขาลงสนามไปมากถึง 29 นัด มันทำให้เห็นว่า ดิอาส สำคัญกับ เรือใบสีฟ้า มากเพียงใด .. ว่ากันว่านักเตะ แมนฯ ซิตี้ มีการโหวตให้ ดิอาส ขึ้นมาเป็นกัปตันทีมลำดับที่ 5 และ อาจจะเป็นกัปตันทีมในอนาคตคนต่อไป ดิอาส ไม่ได้เหลิงกับคำยกย่องมากนัก แต่มันทำให้เขามีความมั่นใจ และ เก็บมันมาเป็นแรงผลักดัน เพื่อก้าวไปยังจุดที่กว่าปัจจุบัน "คำชื่นชมมันเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมเป็น แต่ถ้าผมประหม่ามันมากเกินไป คำชื่นชมเหล่านั้นก็จะค่อยๆหายไป ถ้าหากผมลงเล่น และ ทำได้ไม่ดีนัก ผู้คนก็อาจจะลืมเลือนจากฟอร์มในนัดก่อนๆ ดังนั้นผมชอบให้การกระทำพิสูจน์เพื่อแทนคำพูด" หากบรรยายไปมากกว่านี้ ก็เหมือนจะยกย่อง ดิอาส กันเกินเหตุ .. ฉะนั้นไม่ต้องย้อนไปไหนไกล นัดล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านไล่ต้อน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หนึ่งในพระเอกของงาน จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก รูเบน ดิอาส ผู้ที่เก็บกินแนวรุก "เปแอสเช" ได้อย่างอยู่หมัด จะดวล 1v1 หรือ รับมือกับลูกเปิด หรือ ลูกกลางอากาศ เขาทำมันได้อย่างไรที่ติ

ตลอด 90 นาที ที่ ดิอาส ทำผลงานให้เห็นเกมเจอกับ ปารีส

– ผ่านบอลสำเร็จ : 90% – สัมผัสบอล : 41 ครั้ง – บล็อค : 3 ครั้ง (มากที่สุด) – แย่งบอลคืน : 3 ครั้ง – แทคเกิ้ล : 1 ครั้ง – สกัดบอล : 1 ครั้ง ถ้าใครได้ดูถ่ายทอดสดแบบเต็มๆ จะเห็นว่า เมาโร่ อิคาร์ดี้ ไม่ได้กระดิก แม้กระทั่ง เนย์มาร์ ก็พริ้วไม่ออกเช่นกัน จริงๆเครดิตตรงต้องให้กับแนวรับ แมนฯ ซิตี้ ทั้งหมด แต่เพียงแค่ ดิอาส ทำให้มันดูโดดเด่นกว่าใครๆ ดังนั้นรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ คือคำตอบว่าเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากแค่ไหน จากจุดสตาร์ท และ กำลังถึงเส้นชัย คำถามที่ว่าค่าตัวของ ดิอาส มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงไหม มันมีคำตอบในตัวมันอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า การเข้ามาของ รูเบน ดิอาส ส่งอิทธิพลต่อทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มากเหลือเกิน ด้วย ฝีเท้า, ประสบการณ์, ความทุ่มเท ถือเป็นอีกหนึ่งคีย์แมนที่จะช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ ลุ้นคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ยิ่งจับคู่กับ จอห์น สโตนส์ เสมือนเล่นกันมานานแล้วหลายปี เพราะรู้ใจกันเหลือเกิน ..  "เกมรุกที่ดีจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" ไม่มีใครเถียง  แต่ถ้าคุณแข็งแกร่งทั้งเกมรุก และ เกมรับ คุณก็จะผงาดฟ้าเหมือนอย่างที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กำลังทำอยู่ตอนนี้ ซึ่งคุณจะทำมันได้ ก็ต้องมีนักเตะแบบ รูเบน ดิอาส เอาไว้ในทีม

ฮาย ฮาวดี้

logoline