logo-heading

"เด็กคนนี้เป็นนักฟุตบอลที่เก่งมาก มีพรสวรรค์เต็มตัว ก้าวไปสู่ระดับสูงสุดได้เลย"  นี่คือวาจาที่ถูกลั่นออกมาจากปาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์สัน บรมกุนซือแห่งวงการลูกหนังที่ได้กล่าวยกย่องเด็กผู้นึงที่มีพรสวรรค์ทางด้านฟุตบอลแบบเหลือร้าย

แต่ทว่าการดำเนินชีวิตในเส้นทางที่ผิด ทำให้เขาไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นแข้งแนวหน้าของวงการได้ ผิดจากเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนที่เติบโตขึ้นมาบนเส้นทาง และมีเงินทองจากการใช้แข้งในการเลี้ยงชีวิตได้แบบสบายๆ แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง ราเวล มอร์ริสัน  อดีตแข้งในคาถาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชีวิตหักเหจนกลายเป็นนักฟุตบอลพเนจรไปไม่สุดกับทุกสโมสรที่โยกย้าย ว่าแล้วเราลองมาไล่เรียงสตอรี่ชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้กันหน่อยว่าเป็นอย่างไร แวะไปค้าแข้งกับสโมสรไหน แห่งใดในโลกมาบ้างแล้ว

เติบโตจากอคาเดมี่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด

ย้อนความกลับไปตอนที่ มอร์ริสัน ยังเป็นเด็ก เจ้าตัวทักทายโลกใบนี้ในเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนที่ให้หลังอีก 16 ปี เจ้าตัวได้เซ็นสัญญากับทีมเยาวชนของ "ปีศาจแดง" ซึ่งความพัฒนาที่แทบจะก้าวกระโดดนำหน้าเพื่อนร่วมรุ่นอยู่หลายก้าว ทำให้ มอร์ริสัน ได้รับโอกาสก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่รวดเร็วกว่าที่คิด  เกมนัดแรกในฐานะแข้งชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2010 ในเกมลีก คัพ ที่ทีมเอาชนะ วูลฟ์แธมป์ตัน 3-2 ซึ่งชัยชนะนั้นไม่ได้สำคัญเท่าโอกาสในการลงสนามของเด็กวัย 17 ปีผู้นี้ แม้จะถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองท้ายเกม แต่นั้นคือก้าวเดินที่สำคัญทำให้แฟนบอลลูกหนังทั่วทั้งโลกลูกจักกับเด็กผู้นี้ แต่ทว่าเส้นทางที่กำลังเรียบเนียนกับขรุขระเพราะการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้กำลัง, โดนข้อหาข่มขู่พยานในคดีปล้น ไหนจะเรื่องทำร้ายร่างกายแฟนสาวอีก ซึ่งเมื่อการกระทำดังกล่าวมันเกินเยียวยาทำให้ "ป๋าเฟอร์กี้" ต้องจำใจปล่อยเจ้าหนูนี้ออกจากสโมสรไป "เขาคือดาวรุ่งที่มีพรสรรค์มากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เราเคยเซ็นสัญญาด้วย ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับ ไรอัน กิ๊กส์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เลยทีเดียว แต่สภาพจิตใจของเขานั้นมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับปมในวัยเด็ก เขาควบคุมปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาไม่ได้ ปัญหานอกสนามที่ต่อเนื่องทำให้เรามีทางเลือกไม่มาก จนท้ายที่สุดเราต้องปล่อยตัวเขาออกไป" คำบอกเล่าผ่านตัวหนังสือของ ป๋าเฟอร์กี้ ในอัตชีวประวัติ LEADING เมื่อปี 2015 ราเวล มอร์ริสัน

พเนจรในเมืองผู้ดี

หลังย้ายออกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ทางด้าน มอร์ริสัน ก็ได้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภายใต้การทำทีมของ แซม อัลลาไดซ์ เข้ามาดูแลแทนที่ ซึ่งก็ต้องบอกว่าดูเหมือนชีวิตของเขาจะดีขึ้นเมื่อผลงานกับทัพ "ขุนค้อน" เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม จนกระทั่งถูกเรียกติดทีมชาติอังกดฤษชุดอายุไม่เกิน 21 ปี แต่ทว่าภาพซ้ำ ภาพจำเก่าก็กลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง เพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็โพสต์ข้อความลงโซเชียลของตัวเองในทางที่ไม่เหมาะสมจนเป็นที่มาในการโดนเอฟเอสั่งปรับเงินจำนวน 70,000 ปอนด์ และถูกคาดโทษต่อไป ก่อนที่เขาจะอยู่กับ เวสต์แฮม ได้อีกไม่นานเพราะส่วนหนึ่งเรื่องของพฤติกรรมนอกสนาม และผลงานในสนามที่ไม่อาจเบียดขึ้นมาสอดแทรกได้ ทำให้ก็ถูกปล่อยยืมตัวไปหลายสโมสรไล่ตั้งแต่ เบอร์มิงแฮม, ควีนพาร์ค เรนเจอร์ และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จนกระทั่งหมดสัญญากับทีมไปหลังจบฤดูกาล 2014-15

เริ่มต้นใหม่ที่อิตาลี

หลังหมดสัญญากับ เวสต์แฮม ยูไนต็ด ก็มี ลาซิโอ ทีมชื่อดังแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อิา อิตาลี ในการเข้ามาอุ้ม และให้โอกาสแก่เด็กหนุ่มผู้นี้ เพราะเชื่อว่าด้วยพรสรรค์ และฝีเท้าของเขาถ้ากลับเข้ามสู่เส้นทางได้น่าจะช่วยสโมสรได้เยอะเลยทีเดียว แต่ทว่าทุกึวามคาดหวังไม่ได้สมหวังเสมอไป มอร์ริสัน กับประเพณีใหม่ต่างๆ สร้างปัญหาให้เขามากพอควร ชีวิตที่อิตาลีนั้นเขาลำบากมากกว่าเดิมแบบคูรสิบเข้าไป ทั้งเรื่องของภาษาที่เขาพูดไม่ได้ สื่อสารไม่เข้าใจ รวมไปถึงพฤติกรรมเดิมๆ ที่คิดว่าตัวเองนั้นเจ๋ง ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ทำให้สุดท้ายก็โดนปล่อยตัวกลับมาอังกฤษอีกครั้งกับ ควีนพาร์ค ก่อนที่จะไปไกลถึงสโมสร  แอตลาส ในประเทศเม็กซิโก และถูกปล่อยขาดให้กับ เอิสเตอร์ซุนด์ สโมสรในประทเศสวีเดน ไปใช้งานแบบฟรีๆ ไม่มีค่าตัว ราเวล มอร์ริสัน : ชีวิตลูกหนังสุดพัง เพราะการกระทำของตัวเอง

โอกาสในศึกพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง

ภายหลังลงเล่นให้กับ เอิสเตอร์ซุนด์ ได้เพียงไม่กี่เดือน ลงสนามไปเพียง 6 นัด และไม่ได้มีผลงานยิงประตูให้แฟนบอลได้ชมกัน แต่ทว่า มอร์ริสัน ก็ได้โอกาสกลับมาค้าแข้งบนลีกสูงสุดประเทศอังกฤษอีกครั้งจากการผายมือต้อนรับของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ดึงตัวมาร่วมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2019 ซึ่งดูเหมือนโอกาสครั้งนี้จะเป็นประตูบานใหญ่ให้เขาได้โอกาสพิสูจน์ผลงาน และกลับมาเข้าสู่ลู่ทางอีกครั้ง แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องผิดหวัง  เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างเขาได้ลงเล่นในพรีเมีบร์ลีก อังกฤษ ไปเพียง 1 นัด ส่วนรวมทุกรายการลงให้กับทัพ "ดาบคู่" ไปทั้งหมด 4 เกม แน่นอนหลังอยู่กับทีมได้เพียงครึ่งซีซั่นก็ถูกปล่อยยืมตัวไปให้ มิดเดิลสโบรห์ ทีมในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ยืมตัว ซึ่งก็เข้าอีหรอบเดิมแม้ลีกจะต่ำกว่า แต่โอกาสลงสนามของเขามันจำกัดเหมือนเดิม 3 นัดในสีเสื้อ "โบโร่" ทั้งที่ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรบกวนถือว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า ก่อนที่สัญญาของเขาจะหมดกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์ในที่สุด

โอกาสอีกครั้ง แต่ก็พังไม่เป็นท่า

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2020 มอร์ริสัน ในวัย 27 ปี กลายเป็นแข้งไร้สังกัดสามารถเซ็นสัญญากับสโมสรไหนก็ทั่วโลก ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสจาก เอดีโอ เดน ฮาก ทีมในศึกเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ที่อากลองของดึงตัวไปร่วมทัพ เพื่อหวังขัดเกลาให้กลายเป็นแข้งชั้นนำของทีม แต่ทว่าหลังผ่านไปเพียง 4 เดือน ผ่านการลงเล่นไปเพียง 5 นัด เดน ฮาก ประกาศแยกทางกับ มอร์ริสัน แบบฟ้าผ่าไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมถึงตัดขาดกับอดีตแข้งเยาวชนของ แมนฯ ยูไนเต็ด  "เอดีโอ เดน ฮาก ขอขอบคุณ มอร์ริสัน สำหรับความพยายาม และขออวยพรให้เขาโชคดีสำหรับการค้าแข้งในอนาคต" คำแถลงการณ์เพียงสั้นๆ แต่พอจะเดาได้ว่าเพราะเหตุใดถึงแยกทางกับดาวเตะผู้นี้ ราเวล มอร์ริสัน : ชีวิตลูกหนังสุดพัง เพราะการกระทำของตัวเอง ซึ่งปัจจุบัน มอร์ริสัน กลับมาเป็นแข้งไร้สังกัดอีกครั้ง ชีวิต 27 ปี ของเขาผ่านการค้าแข้งมาแล้วกว่า 11 สโมสร แต่เมื่อนับนิ้วรวมๆ มันเพิ่งลงสนามเกินหลักร้อยนัดไปเพียงนิดเดียว แน่นอนถ้าจะมองว่าจุดเปลี่ยนคงเป็นเรื่องของทัศนคติของเจ้าตัวที่เป็นตัวคอยขัดขวางไม่ให้อาชีพไล่หวดลูกหนังมันราบรื่น ฉะนั้นชีวิตต่อจากนี้ของเขาจะเป็นอย่างไร จะมีสโมสรไหนกล้ายื่นมือมาร่วมงานด้วยอีกไหม ว่าแล้วนี้จึงกลายเป็นบทเรียนชั้นครูที่ทำให้รู้ว่าต่อให้เก่งแค่ไหน คนรอบข้างสรรเสริญมากเพียงใด แต่เมื่อคุณขาดวินัยต่อตัวเอง ชีวิตคุณก็พังไม่เป็นท่าแบบชายที่ชื่อ ราเวล มอร์ริสัน

- เปา ขอบสนาม -

logoline