logo-heading

จะเรียกว่าเสน่ห์ของเกมลูกหนังก็คงจะไม่มากเกินไปสำหรับเหตุการณ์ย้ายสโมสรของเหล่านักเตะที่ข้ามฟากไปค้าแข้งกับทีมคู่อริในรูปแบบที่แฟนบอลเองก็ไม่เคยคาด และมันสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าผู้หนุนหลังพวกเขาเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเหลือเกิน ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะพาทุกท่านย้อนชมดีลการย้ายทีมแบบไม่คาดฝันของนักเตะที่ข้ามฝั่งไปสวมเครื่องแบบสโมสรคู่แข่งที่เป็นอริของแฟนบอล ซึ่งจะมีนักเตะคนไหนบ้าง และเหตุการณ์มันเดือดมากขนาดไหน ไปติดตามกันได้เลย ...

นิค บาร์มบี้ (จาก เอฟเวอร์ตัน ไป ลิเวอร์พูล) 

อย่างที่เรารู้กันว่าระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล คือเพื่อนบ้านที่เป็นอริในเรื่องของฟุตบอลมาอย่างยาวนาน ฉะนั้นแล้วการที่จะหานักเตะสักคนย้ายข้ามฟากระหว่าง 2 สโมสรถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ทว่ามันก็สามารถเกิดขึ้นได้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000 นิค บาร์มบี้ ถูกจารึกชื่อว่าเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 41 ปี ที่ย้ายข้ามสวนสาธารณะสแตนลีย์พาร์ค จาก เอฟเวอร์ตัน ไปซบอก ลิเวอร์พูล ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนั้นนักเตะเหลือสัญญากับทัพ "ทอฟฟี่" เพียงปีเดียว และตัวนักเตะก็แสดงเจตนาว่าอยากย้ายทีม ทำให้ วอลเตอร์ สมิธ กุนซือของทีมจัดการขึ้นบัญชีย้ายทีมให้สมใจอยาก ซึ่งจากการเปิดเผยระบุว่า บาร์มบี้ แจ้งประสงค์ชัดเจนว่า "กูต้องการเล่นให้ ลิเวอร์พูล" ก่อนที่การเจรจาทุกอย่างจะบรรลุผล "หงส์แดง" ยอมจ่ายค่าตัว 6 ล้านปอนด์ ให้ทีมเพื่อนบ้าน ซึ่งการย้ายไปอยู่ฝั่งสีแดงครั้งนี้ บาร์มบี้ สามารถคว้าทริปเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยทั้งลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า คัพ มาครองได้สำเร็จ รวมแล้วตลอด 2 เขาลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไป 58 นัด ซัด 8 ประตู พ่วงกับอีก 7 แอสซิสต์ โดยที่ทุกครั้งที่ทำศึก เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เขาคือนักเตะที่แฟน ๆ ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน จ้องจะเล่นงาน โดยจบเกม ต้องแยกตัวไปจากสนามจากเพื่อน ๆ ด้วยซ้ำ เพราะว่า จะมีแฟน ๆ คอยดักเล่นงานเขาอยู่  10 แข้งใจ (โคตร) กล้า ย้ายข้ามฟากซบตักทีมคู่อริ

โซล แคมป์เบลล์ (จาก สเปอร์ส ไป อาร์เซน่อล)

หนึ่งในการย้ายทีมครั้งบันลือโลกลูกหนัง และยังคงได้รับการพูดถึงจนมาถึงทุกวันนี้  เส้นทางการค้าแข้งของ โซล แคมป์เบลล์ เริ่มต้นจากอคาเดมี่ของ เวสต์แฮม แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียว ก่อนโยกย้ายมาฝึกศาสตร์ลูกหนังกับ สเปอร์ส ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ซึ่งเขาก็ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าจนได้รับโอกาสดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และก้าวขึ้นมาสวมปลอกแขนกัปตันทีม "ไก่เดือยทอง" ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ แต่ทว่าเรื่องที่แฟนบอลไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในช่วงปี 2001 เมื่อ แคมป์เบลล์ เลือกที่จะไม่ขยายสัญญากับ สเปอร์ส ออกไป ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์สามารถย้ายไปร่วมทัพสโมสรไหนก็ได้ และสุดท้ายเขาเลือกที่จะแทงใจดำแฟนบอล "ไก่เดือยทอง" ด้วยการไปสวมเสื้อของ อาร์เซน่อล คู่อริหมายเลข 1 ของสโมสร แน่นอนเขากลายเป็น "จูดาส" เบอร์ต้นๆ ของสโมสร เมื่อใดที่ แคมป์เบลล์ กลับไปเยือน ไวท์ ฮาร์ท เลน ทั้งเสียงโห่ เสียงด่า เรียกได้ว่าจัดเต็มจากทั่วทุกมุมของสนาม แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และตอกกลับแฟนบอลด้วยความสำเร็จทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก และ บอลถ้วยอีกหลายโทรฟี่

หลุยส์ ฟิโก้ (จาก บาร์เซโลน่า ไป เรอัล มาดริด)

การย้ายตัวที่สั่นสะเทือนวงการลูกหนังมากที่แล้วก็ว่าได้สำหรับ หลุยส์ ฟิโก้ ที่แปลงการตัวเองจากนักเตะของ บาร์เซโลน่า มาสวมเครื่องแบบสีขาวของ เรอัล มาดริด ตามประวัติศาสตร์ลูกหนังแฟนบอลทุกคนรู้ว่านี่คือ 2 สโมสรมหาอำนาจแห่งวงการลูกหนังเมืองสเปน ฉะนั้นการที่จะเห็นนักเตะสักคนย้ายข้ามฝั่งกันตรงๆ นั้นมันเกิดขึ้นได้ยากมากจริงๆ แต่ทว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันมาเกิดกับดาวเตะชาวโปรตุเกสที่เขาคือหนึ่งในนักเตะคนสำคัญของทัพ "อาซูลกราน่า" ในห้วงเวลานั้น แต่แล้วความกระสันอยากได้ของ เรอัล มาริด ก็ได้ยื่นเงินจำนวนราวๆ 60 ล้านยูโร มาให้ บาร์ซ่า พิจารณา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเมื่อปี 2000 ถือว่าเยอะมากๆ ก่อนที่สุดท้าย ฟิโก้ จะย้ายไปเป็นนักเตะในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว และแน่นอนมันเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่พอใจของแฟนบอล บาร์เซโลน่า ซึ่งการกลับไปเยือนคัมป์ นู ในแต่ละครั้งของ ฟิโก้ ต่างอุดมไปด้วยคำด่าทอแบบเสียๆ หายๆ แต่ทั้งหมดทุกอย่างมันคงยังไม่เท่ากับไฮไลท์ที่มีแฟนบอลโยนหัวหมูลงไปในสนาม ทำให้นั้นกลายเป็นภาพสุดแสนคลาสสิคจวบจนทุกวันนี้ ส่วน ฟิโก้ ในสีเสื้อ เรอัล มาดริด ถือว่าเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งเรื่องโทรฟี่แชมป์กับทีม และรางวัลบัลลง ดอร์ ที่ได้มาครองเมื่อปี 2000 10 แข้งใจ (โคตร) กล้า ย้ายข้ามฟากซบตักทีมคู่อริ

แอชลี่ย์ โคล (จาก อาร์เซนอล ไป เชลซี)

ด้วยความที่สโมสรตั้งอยู่ร่วมกรุงลอนดอนเหมือนกัน ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ อาร์เซน่อล และ เชลซี จะไม่ค่อยชอบขี้หน้า และแกร่งแย่งความเป็นเบอร์ 1 ของเมืองหลวงของเกาะอังกฤษ และกับกรณีการย้ายข้ามวิกโดยตรงจาก "ปืนใหญ่" ไปสวมเครื่องแบบ "สิงห์บลูส์" ของ แอชลี่ย์ โคล ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอล อาร์เซน่อล เป็นอย่างมาก โดยสาเหตุการย้ายทีมครั้งนี้เกิดจากที่การไม่สามารถเจรจาเรื่องการขยายสัญญากับ อาร์เซน่อล ออกไปได้ ทั้งที่ต้นสังกัดพยายามเกลี้ยกล่อม และเสนอราคาค่าเหนื่อยที่สูงขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นผล ประจวบเหมาะกับ เชลซี ได้ยื่นข้อเสนอในรูปแบบที่ค่าเหนื่อยมากกว่าเดิมอีก 2 เท่า มีหรือที่ โคล จะไม่รับโอกาสครั้งนี้ไว้ ฉะนั้นแล้วไม่แปลกเลยถ้าการที่ โคล ต้องกลับไปยืนถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และแฟนบอลจะตะโกนด่าว่า "ไอ้หน้าเงิน" รวมไปถึงเคยมีเหตุการณ์ที่แฟนบอลโยนแบงค์ลงไปในสนามเพื่อสื่อถึงนักเตะที่ต้องการเงินมากกว่าความจงรักภักดี

เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (จาก อาร์เซน่อล ไป แมนฯ ซิตี้)

แม้ในเรื่องของความเป็นอริระหว่างสโมสรจะไม่ได้มีความเกลียดชังกันมากนัก แต่ทว่าพอมีนักเตะที่ชื่อว่า อเดบายอร์ มาคั่นกลางทำให้เหมือนเชื้อเพลิงที่ถูกจุดขึ้น พร้อมราดน้ำมันสุมไฟให้มันมอดไหม้มากกว่าเดิม โดย อเดบายอร์ ย้ายมาร่วมทัพ "ปืนใหญ่" เมื่อปี 2006 ก่อนที่จะเป็นดาวยิงตัวหลักของทีมมาตลอด 3 ปี จนกระทั่งปี 2009 เขาได้ย้ายไปร่วมทัพ แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ ซึ่งก่อนแยกทางก็ดูเหมือนจะจบกันไม่สวยเท่าไหร่นัก ก่อนที่ไฮไลท์สำคัญจะมาอยู่จังหวะเขาสังหารประตูทัพ "ปืนใหญ่" ได้ ก่อนที่ควบตะบึงจากอีกฝั่งของสนามเพื่อมาสไลด์เข่าดีกว่าต่อหน้ากองเชียร์ อาร์เซน่อล ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นหัวหอกทีมชาติโตโกโดนพรีเมียร์ลีกสั่งปรับเงินจำนวน 25,000 ปอนด์ โทษฐานยั่วยุแฟนบอล แต่มีหรือคนอย่างเขาจะใส่ใจต่อเงินดังกล่าว เพราะกระทำในครั้งนั้นมันเป็นการปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาใจเขา และระบายมันออกมาได้อย่างหมดจด 10 แข้งใจ (โคตร) กล้า ย้ายข้ามฟากซบตักทีมคู่อริ

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (จาก อาร์เซน่อล ไป แมนยู)

ถ้าวัดด้วยความเกลียดชัง อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะเป็นคู่แข่งกันในเรื่องของความสำเร็จโดยเฉพาะช่วงต้นยุค 2000 ที่ อาร์แซน เวงเกอร์ กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เปรียบเป็นไม้เบื่อไม้เมา ต่างแย่งโทรฟี่แชมป์กันแทบทุกรายการ ฉะนั้นแล้วมันเลยเป็นเรื่องยากที่กุนซือทั้ง 2 ฝั่งจะปล่อยนักเตะในคาถาย้ายข้ามไปฝั่งตรงข้าม แต่ทว่ากับเคสของ ฟาน เพอร์ซี่ ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความต้องการของนักเตะด้วย แม้เขาจะเป็นที่รักของแฟนบอล รวมไปถึงครอบครองปลอกแขนกัปตันทีม แต่ทว่าเขาอยากจะประสบความสำเร็จมีโทรฟี่แชมป์พรีเมียรลีก อังกฤษ ประดับบารมีมันเลยทำให้ดีลนี้เกิดขึ้น เงินจำนวน 22.5 ล้านปอนด์ คือตัวเลขที่ "ปีศาจแดง" มอบให้กับ อาร์เซน่อล เพื่อแลกกับ RVP ซึ่งนั้นคือการซื้อตัวที่ถูกจุด เพอร์ซี่ สามารถคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่มีถึง แต่ถ้าจะมีข้อผิดพลาดคือการที่เขาได้ร่วมงานกับ "ป๋าเฟอร์กี้" เพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น

คาร์ลอส เตเวซ (จาก แมนฯ ยูไนเต็ด ไป แมนฯ ซิตี้)

ตลอดช่วงสัญญายืมตัว 2 ปี จาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ดาวยิงอย่าง คาร์ลอส เตเวซ สามารถเข้าไปครองใจแฟนบอล "ปีศาจแดง" ได้อย่างเอ่อล้น ด้วยจำนวนประตูที่เขากระหน่ำให้ทีม, ความขยันแบบสู้ไม่ถอย รวมไปถึงโทรฟี่แชมป์ที่ได้มาทั้งพรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์  ฉะนั้นแล้วเมื่อสัญญายืมตัวหมดลงแฟนบอลอยากจะให้ทีมควักกระเป๋าเพื่อดึงตัวมาร่วมทีมแบบถาวร แต่ทว่าสุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อนักเตะเลือกที่จะย้ายไปร่วมทัพอริร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ซิตี้ ซึ่งนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้แฟนบอล ยูไนเต็ด จากรักสุดใจ กลายเป็นเกลียดขึ้นสมอง ป้ายผ้าที่ ซิตี้ เขียนว่า "welcome to manchester" ยังคงจำฝังใจแฟนบอลของ "ปีศาจแดง" จวบจนทุกวันนี้ ส่วนในเรื่องผลงาน เตเวซ กลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ เลยก็ว่าได้ ตัวเลข 73 ประตู จาก 148 นัด พ่วงด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย คือตัวการันตีชั้นยอดถึงความเก่งกาจของชายผู้นี้ 10 แข้งใจ (โคตร) กล้า ย้ายข้ามฟากซบตักทีมคู่อริ

เอ็มเร่ เบเลโซกูล (จาก นิวคาสเซิ่ล ไป เฟเนบาร์เช่) 

หลายคนอาจจะงงว่าทำไมการที่ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล ไป เฟเนบาร์เช่ ทำให้ดาวเตะชาวตุรกีอย่าง เอ็มเร่ เบเลโซกูล กลายเป็นจูดาส แน่นอนเรื่องราวนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "สาลิกาดง" แต่มันเกี่ยวกับสถานีปลายทาง เพราะการที่เขาย้ายไปร่วมทัพ เฟเนบาร์เช่ เหมือนเป็นการกรีดหัวใจของแฟนบอล กาลาตาซาราย เลยก็ว่าได้  เอ็มเร่ เบเลโซกูล คือเด็กปั้นขนานแท้ของ กาลาตาซาราย ที่ย้ายเข้ามาสู่ทีมตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี ก่อนที่จะเติบโตจนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และเป็นแข้งตัวหลักของทีมกวาดแชมป์ได้อย่างมากมาย จนกระทั่งย้ายออกไปค้าแข้งกับทีมนอกบ้านเกิดเริ่มจาก อินเตอร์ มิลาน เมื่อปี 2001 จนต่อ นิวคาสเซิ่ล ในปี 2005 ก่อนที่ไฮไลท์อยู่ที่ปี 2008 เจ้าตัวเลือกที่จะย้ายกลับไปเล่นในประเทศบ้านเกิด แต่ทว่าสิ่งที่เหมือนจะผิดไปคือ เอ็มเร่ เลือกไปชูเสื้อเปิดตัวกับทีมอริอย่าง เฟเนบาร์เช่ แบบหน้าตาเฉย แน่นอนนี่คือการประกาศเป็นศัตรูกับแฟนบอลอย่างชัดเจน และแฟนบอล กาลาตาซาราย ก็ทำการมอบความเกลียดชังให้กับเขาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งชีวิตลูกหนังของ เอ็มเร่ วนเวียนอยู่กับ เฟเนบาร์เช่ ถึง 3 ครั้ง อยู่ในช่วงระหว่างปี 2008-2012, 2013-15 แลละ 2019-20 ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดกับ เฟเนบาร์เช่ ไปเมื่อปีที่ผ่านมา และเข้ารับงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของทีมในตอนนี้ ซึ่งถึงวันนี้ เขาก็ยังเป็นที่หมายจะเล่นงานถึงขั้นเอาตายจากแฟน ๆ กาลาตาซาราย เหมือนเดิม

กอนซาโล่ อิกวาอิน (จาก นาโปลี ไป ยูเวนตุส)

อีกหนึ่งนักเตะคนโปรดของแฟนบอล นาโปลี เพราะด้วยผลงานการกระหน่ำประตูของเขามันช่างน่าจดจำ และชื่นชมเหลือเกิน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 3 ปี แต่ทว่าเขาสามารถครองใจแฟนบอลเมืองเนเปิ้ลได้อย่างหมดจด จำนวนตัวเลขการซัดไปถึง 91 ประตู จาก 146 นัดในทุกรายการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ากองหน้าคนนี้สำคัญกับ นาโปลี มาขนาดไหน แม้ในเรื่องของความสำเร็จจะพาทีมพุ่งชนกับถ้วยแชมป์เพียง โคปา อิตาเลีย กับ ซูเปอร์ โคปา แต่ทว่ามันคือปัจจัยรอง เพราะนี่คือนักเตะตัวความหวังของสโมสรในช่วงเวลานั้น แต่ทว่าดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ "รักมาก ยิ่งเกลียดมาก" ในวันที่ ยูเวนตุส ได้ยื่นข้อเสนอยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาจำนวน 90 ล้านยูโร เพื่อดึง อิกวาอิน ไปร่วมทีม แฟนบอล"อัซซูร่า" ต่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก และมองว่าดาวยิงผู้นี้ทรยศต่อสโมสร และเลือกย้ายไปสู่ทีมคู่อริ ฉะนั้นแล้วเราจึงได้เห็นภาพแฟนบอล นาโปลี พร้อมใจกันเผาเสื้อแข่งที่มีชื่อของ อิกวาอิน กันแบบไม่เหลือเยื่อใย หรือแม้กระทั่งทิ้งเสื้อที่สกรีนเบอร์ 9 ลงโถส้วมคล้ายบอกว่าทิ้งสิ่งปฏิกูลที่ไร้ค่าให้มันจางหายไป ขนาดร้านพิซซ่าร้านหนึ่งใน เนเปิ้ลส์ ถึงขั้นแจกพิซซ่าฟรีให้กับลูกค้า หากว่า อิกวาอิน โดนเตะบาดเจ็บระหว่างแข่งอีกต่างหาก เอาสิ โคตรเดือด  10 แข้งใจ (โคตร) กล้า ย้ายข้ามฟากซบตักทีมคู่อริ

สตีเว่น แบร์กฮุส (จาก เฟเยนูร์ด ไป อาแจ็กซ์)

เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นแบบสดๆ ร้อนๆ ในช่วงซัมเมอร์ 2021 นี่เอง โดยคราวนี้เป็นทีมจากศึกเอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ เมื่อนักเตะของ เฟเยนูร์ด ที่มีนามว่า สตีเว่น แบร์กฮุส ได้ทำการโยกย้ายไปเล่นให้กับคู่ปรับหมายเลข 1 ของสโมสรอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัวแสนถูกเพียง 4 ล้านยูโร ซึ่ง แบร์กฮุส ไม่ใช่เด็กปั้นของ เฟเยนูร์ด แต่อย่างใด ทว่าเขาย้ายมาค้าแข้งกับทีมตั้งแต่ปี 2016 ก่อนลากยาวมานานกว่า 5 ปี ฉะนั้นความผูกพันจึงเกิดขึ้น แถมการย้ายไปร่วมทัพทีมอริอย่าง อาแจ็กซ์ ก็เป็นเรื่องที่แฟนบอลยากที่จะรับได้ ฉะนั้นแล้วปฎิกิริยาของแฟนบอลคือการเผาเสื้อแข่งของ แบร์กฮุส ให้สิ้นซากแบบไม่เหลือชิ้นดี เรียกได้ว่าเกลียดขี้หน้ากันเลยทีเดียว  แน่นอนต่อจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อ แบร์กฮุส กลับมายังถิ่นความเดือดของแฟนบอลจะโจมตีใส่เขามากขนาดไหน และเหตุการณ์ในวันนั้นคงจะถูกสื่อหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งไอ้วันที่ว่ามันดันเป็นวันเกิดของเขาพอดี ซึ่ง แฟน ๆ ของ เฟเยนูร์ด ก็ฝากข้อความถึงอดีตคนเคยรักว่า “วันนั้นจะเป็นวันตายของมึง” 

- Paolinho -

logoline