logo-heading

เข้าไปยืนรอในรอบชิงชนะเลิศศึกลีก คัพ เป็นทีมแรกแล้วสำหรับ เชลซี ภายหลังเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ได้ทั้งเหย้า และเยือน ด้วยสกอร์รวม 3-0 จากนี้ก็ต้องดูว่าคู่แข่งพลพรรคทัพ "สิงห์บลูส์"จะเป็นใครระหว่าง อาร์เซน่อล หรือว่า ลิเวอร์พูล

จะว่าไปแม้สกอร์ในเกมแรกอาจจะดูขาดลอยที่ เชลซี เปิดบ้านชนะมาก่อน 2-0 แต่ทว่าในเกมเลก 2 ถือว่าทั้งคู่ยังคงเปิดหน้าแลกกันอย่างสนุก มีโอกาสจบสกอร์กันอยู่หลายครั้งตลอด 90 นาทีที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราก็ได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจจากเกมนี้ และมีเหตุการณ์ไหนที่น่าสนใจให้หยิบยกมาพูดคุยกันบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพ

เริ่นต้นกันที่ฝั่งเจ้าบ้านที่เกมแรกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนถึง 2 ประตู นัดนี้ อันโตนิโอ คอนเต้ จึงขนผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามหวังพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบให้ได้ เกมนี้นายใหญ่ชาวอิตาลียังคงติดตั้งระบบ 3-4-3 จะมีหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่งก็เพียงผู้รักษาประตูที่เกมบอลถ้วยจะเป็นโอกาสของ ปิแอร์ลุยจิ โกลลินี่ ส่วนที่เหลือคือชุดดีที่สุดนำมาโดย แฮร์รี่ วิงค์, ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, ลูคัส มูร่า, โจวานี่ โล เซลโซ่ และ แฮร์รี่ เคน  ข้ามมาที่ฝั่งผู้มาเยือนของ โธมัส ทูเคิ่ล แม้จะตุนในกระเป๋าไว้ก่อนถึง 2 ตุง แต่ก็ไม่ประมาทจัดหนักเหมือนกัน เกมรับยังคงใช้บริการของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์, อันเดรส คริสเตียนเซ่น และ มาล็อง ซาร์ แดนกลางเป็นการจับคู่กันของ จอร์จินโญ่ กับ มัตเตโอ โควาซิช ขนาบข้างด้วย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ส่วนเกมรุกจัดทั้ง เมสัน เมาท์, โรเมลู ลูกากู และ ติโม แวร์เนอร์ เป็น 3 ประสาน อีกทั้งในซุ้มม้านั่งสำรองยังมีทีเด็ดอีกหลายรายไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน พูลิซิช, ฮาคิม ซีเย็ค หรือ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ประเด็นหลังเกม เชลซี บุกย้ำชัยใส่ สเปอร์ส ลิ่วเข้าชิงศึกลีก คัพ

ผลงานของ รูดิเกอร์

ถ้าจะถามหาปราการหลังที่ไว้ใจได้ และสามารถพึ่งพาได้ของ เชลซี ในตอนนี้ แน่นอนว่าชื่อของ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ จะถูกยกมือขานเสียงออกมาอย่างแน่นอน จากผลงานที่เจ้าตัวแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถเป็นเสาหลักของเกมรับรักษามาตรฐานผลงานของตัวเองได้เป็นอย่างดีในช่วงปีที่ผ่านมา เช่นกันกับเกมนี้ที่เขาคือคนสำคัญของทีมในการเผชิญกับเกมรุกที่รวดเร็วของ สเปอร์ส และสามารถจัดการได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังเติมขึ้นไปโขกประตูขึ้นนำให้ทีมตั้งแต่นาทีที่ 18 ช่วยให้ทีมเล่นได้ง่ายมากขึ้น ก่อนนำมาซึ่งชัยชนะในเกมนี้ ซึ่งถ้าพิจารณาจากผลงานสัญญาของเขาที่กำลังจะหมดลงกับทีมในช่วงซัมเมอร์ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก และด้วยผลงานแบบนี้เชื่อว่าแฟนบอล เชลซี คงอยากให้ทีมรั้งตัวเขาไว้ต่อไป จะว่าไปนักเตะในสไตล์ดุดัน และช่วยยกระดับเกมรับได้ในระดับนี้มันคู่ควรกับค่าเหนื่อยที่ต้องเพิ่มให้จริงๆ ซึ่งถ้ามองในอีกมุมการที่ทีมจะไปเอานักเตะใหม่เข้ามาก็อาจจะต้องเสียค่าจ้างในระดับพอๆ กัน แถมอาจมีค่าตัวอีก ฉะนั้นการเลือกเก็บแข้งคนเก่าที่รู้มือกันไว้กับทีมคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

จังหวะ (เกือบ 2 จุดโทษ) ของ สเปอร์ส

จะว่าไปก็เป็นเหมือนดราม่าเล็กๆ ของเกมนี้ให้ได้พูดถึงอยู่เหมือนกันกับจังหวะที่ต้องเช็ค VAR อย่างละเอียดเกี่ยวกับจุดโทษของ สเปอร์ส ถึง 2 จังหวะ  เริ่มแรกจากช่วงปลายครึ่งแรกที่ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก หลุดเข้าไปก่อนโดน รูดิเกอร์ สไลด์เข้ามาสกัดซึ่งจากเหตุการณ์ที่แนวรับ เชลซี เข้าบอลมันอยู่บริเวณนอกกรอบเขตโทษ แต่ทว่าคู่กรณีดันไปทิ้งตัวในเขตโทษ ทำให้ต้องไปเช็ค VAR ก่อนจะตัดสินให้เป็นเพียงจังหวะฟรีคิกเท่านั้น ส่วนอีกประเด็นคือในช่วงต้นครึ่งหลังนาทีที่ 55 จังหวะหลุดที่ แฮร์รี่ เคน จ่ายทะลุช่องเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ลูคัส มูร่า ก่อนที่จะโดน เกปา ออกมาสกัดซึ่งถ้ามองภาพตามเกมมันค่อนข้างชัดเจนว่านายด่านรายนี้เข้าเล่นที่บอล แต่ทว่าอาจจะด้วยมุมมองของผู้ตัดสินในอย่าง อังเดร มาร์ริเนอร์ จึงจัดการเป่าเป็นจุดโทษให้กับเจ้าบ้าน แต่ทว่าก็มีการมาเช็ค VAR อย่างละเอียด และมันก็ชัดเจนมากพอว่าไม่ได้มีการทำฟาวล์เกิดขึ้น และเป็นจังหวะเล่นที่ลูกบอลของ เกปา ฉะนั้นแล้วจึงทำให้ผู้ตัดสินยอมกลับคำตัดสินของตัวเอง และยกเลิกจุดโทษที่เป่าให้กับทางฝั่งของ สเปอร์ส 

เชลซี เข้าชิงอีกครั้ง

นี่คือการกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึกลีก คัพ ครั้งที่ 9 ของทัพ "สิงห์บลูส์" โดยก่อนหน้านี้ 8 ครั้งพวกเขาสามารถคว้าโทรฟี่แชมป์มาครองได้ถึง 5 ครั้ง แต่ทว่าครั้งล่าสุดก็อาจจะต้องย้อนกลับไปไกลหน่อยคือเมื่อฤดูกาล 2014-15 ซึ่งคู่แข่งในวันนั้นก็คือ สเปอร์ส นี่แหละ ก่อนที่ เชลซี จะเอาชนะไปได้ 2-0 จากการทำประตูของ จอห์น เทอร์รี่ กับ ดิเอโก้ คอสต้า ส่วนเกมนัดชิงในถ้วยนี้นัดล่าสุดของพวกเขาเกิดขึ้นเมื่อซีซั่น 2018-19 ซึ่งโคจรมาพบกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งใน 120 นาทีทั้งคู่เสมอกันที่ 0-0 ต้องมาตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นทางทัพ "เรือใบสีฟ้า" ที่แม่นกว่าเอาชนะไปได้ 4-3  ซึ่งถ้าใครยังคงกันได้เหตุการณ์ในวันนั้นคือประเด็นดราม่าที่ เกปา ไม่ยอมเปลี่ยนตัวออกจากสนามตามคำสั่งของกุนซืออย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่ จนกลายเป็นกระแส และเรื่องแซวจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนักเตะจากเกมในวันนั้นของ เชลซี ยังคงหลงเหลืออยู่ในชุดนี้หลายคนไม่ว่าจะเป็น เกปา,  เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หรือ คาลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ว่าแล้วก็เหมือนเป็นการกลับมาทวงแชมป์อีกครั้งขอแข้งกลุ่มนี้หลังอกหักมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ประเด็นหลังเกม เชลซี บุกย้ำชัยใส่ สเปอร์ส ลิ่วเข้าชิงศึกลีก คัพ

เส้นทางที่เหลือของ ท็อตแน่ม

ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับทัพ "ไก่เดือยทอง" ที่ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในรายการนี้ได้ ซึ่งถ้วยใบนี้คือความสำเร็จชิ้นล่าสุดของสโมสรที่คว้ามาครองได้เมื่อซีซั่น 2007-08 ภายใต้การทำทีมของ ฆวนเด้ รามอส ซึ่งคราวนั้นในรอบชิงชนะเลิศก็สามารถเอาชนะ เชลซี ไปได้ 2-1 ซึ่งได้ประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษจาก โจนาธาน วู๊ดเกต ซึ่งนั้นเท่ากับว่าช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้งานของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ใหญ่สุดคือการคว้าอันดับ 4 เพื่อซิวตั๋วไปลุยศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นหน้าให้ได้ จะว่าไปนี่คือความสำเร็จใหญ่สุดก็ว่าที่ทีมมีโอกาสคว้ามาครอง โดยตอนนี้พวกเขารั้งอันดับ 6 ของตาราง ตามหลังพื้นที่ท็อปโฟร์อยู่ 4 คะแนน แต่ลงสนามน้อยกว่าอยู่ 2 เกม ส่วยนอีกรายการที่ยังคงอยู่ในเส้นทางคือศึกเอฟเอ คัพ ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 4 เรียบร้อยแล้ว และรอเจอกับ ไบร์ทตัน คู่แข่งร่วมในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งน่าสนใจว่า คอนเต้ จะสามารถพา สเปอร์ส ไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ และจะสามารถคว้าความสำเร็จมาให้แฟนบอลที่รอคอยนั้นเชยชมได้หรือเปล่า เราคงได้รู้กัน 

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline