logo-heading

เรียกได้หลังจากกลับมาลงสนามอีกครั้งหลังต้องหยุดพักไปกว่า 3 เดือน ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นพวกเขาสามารถโชว์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เก็บชัยพร้อมกับรูปเกมในสนามที่ยอดเยี่ยม

โดยนับตั้งแต่ฟุตบอลกลับมาลงแข่งขันกันอีกครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนามไปแล้วทั้งสิ้น 4 นัด (พรีเมียร์ลีก 3, เอฟเอ คัพ 1) ผลที่ออกมาคือพวกเขายังคงไม่พลาดพลั้งพ่ายแพ้ให้กับสโมสรไหนเลย พร้อมกันนั้นยังยิงประตูถล่มทลายไปถึง 9 ประตู ซึ่งวันนี้ ขอบสนาม ของเราเลยจะมาชำแหละกันว่าทัพ "ปีศาจแดง" มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทำให้ผลงานในสนามของเขาในตอนนี้นั้นมันยอดเยี่ยมสุดเด่ามากจริงๆ

กรีนวูด ยึดตัวจริง

เจ้าหนูไม้เขียวที่ดูเหมือนว่ายิ่งเล่นฟอร์มจะยิ่งพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และการที่บอลกลับมาเตะหลังพักหนีโควิดนั้น กรีนวูด เริ่มจะเข้ามายึดบทบาท 11 ตัวจริงของทีม และเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนนี้ดูเหมือน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะมอบหมายพื้นที่กองหน้าทางฝั่งขวาให้กับเจ้าตัวรับสัมปทานไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ส่วนหนึ่งนอกผลงานส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยคือ ดาเนียล เจมส์ แข้งในตำแหน่งเดียวกันนั้นเริ่มมีผลงานที่ดร็อปลงเรื่อยๆ และมักจะไม่ค่อยสร้างประโยชน์ให้ทีมเท่าไหร่ยามที่ได้รับโอกาส ซึ่งมันแตกต่างกับเวลาที่ กรีนวูด อยู่ในสนาม เพราะนอกจากความเร็วแล้ว ยังมีจังหวะเข้าทำหรือวางบอลที่ยอดเยี่ยมเฉกเช่นประตูล่าสุดที่เปิดให้ บรูโน่ แฟร์นานเดส ทำประตู  นอกจากนั้นสิ่งที่ดูอันตรามากขึ้นเรื่อยๆ คือจังหวะจบสกอร์ด้วยความที่เขาเป็นคนที่ยิงประตูค่อนข้างคมอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนที่เล่นได้ทั้ง 2 เท้า มันยิ่งทวีคูณน่ากลัวของเขามากขึ้นไปอีกเหมือนกับที่ โซลชา ได้เอ่ยคำชมหลังจบเกมกับ ไบร์ทตัน ไว้ว่า "เขาครองบอลได้อย่างดีเยี่ยม และสามารถเชื่อมเกมได้ นอกจากนั้นเขายังมีความสามารถในการยิงประตูทั้งใน และนอกกรอบ และยังเล่นได้ดีทั้งสองเท้าอีกด้วย แน่นอนตอนนี้เขากำลังพัฒนาไปเป็นนักเตะระดับชั้นยอด" Greenwood

ป็อก & บรูโน่ สวนผสมที่ลงตัว

ย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่ทั้งคู่จะมีโอกาสได้ลงสนามเล่นร่วมกัน เชื่อว่ามีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่าทั้งคู่จะเล่นร่วมกันได้ดีขนาดไหน? ซึ่งคำถามดังกล่าวถึงตรงนี้มันได้ตอบทุกอย่างในตัวไปแล้วเมื่อทั้งคู่ลงบัญชาเกมให้ "ปีศาจแดง" เพราะมันเปรียบเสมือนเคมีที่ลงตัว ป็อกบา ยืนคุมแดนกลางคอยแจกจ่ายบอลไปพื้นที่ต่างๆ ส่วนฝั่ง บรูโน่ คอยสอดส่ายหาพื้นที่ จ่ายบอล และยิงประตูด้วยตัวเอง นอกจากนั้นทั้งคู่ต่างลงเล่นเพื่อทีมไม่มีใครอยากจะโดดเด่นกว่าใคร ซึ่งจุดนี้มันยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพ และเกื้อหนุนกันได้อย่างยอดเยี่ยม ว่าแล้วตรงนี้ต้องชื่นชม ป็อกบา ด้วยที่ไม่หัวดื้อเล่นยากเหมือนที่ผ่านๆ มา ทำให้ดูเหมือนชีวิตของเขากับทีมจะแฮปปี้กว่าที่แล้วมามากพอสมควร

แนวรุกไหลลื่น

ต้องบอกว่าประเด็นนี้มันก็สอดคล้องมาจาก 2 ข้อด้านบนนั้นแหละ เพราะในเมื่อแดนกลางมี 2 แข้งที่สอดประสานงานกันได้อย่างลงตัว ทำให้แนวรุกด้านบนทำงานง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ซัดแฮตทริกไปแล้ว หรือ เมสัน กรีนวูด ที่ทำงานร่วมกับรุ่นพี่ได้อย่างเนียนกริบ บวกกับแผงมิดฟิลด์สามารถเติมขึ้นมาทำประตูได้อีก มันยิ่งทำให้การเข้าทำของทีมมีความหลากหลายมากขึ้นในจังหวะเข้าทำ ไม่ใช่ใช้แต่แค่มุขเดิมๆ ที่สั่งให้แบ็คทั้ง 2 ฝั่ง เติมขึ้นไป และเปิดเข้าด้านในอย่างเดียว แต่นี่มันกลายเป็นมีแผน 1 2 หรือ 3 ในทุกเกมเกี่ยวกับวิธีการเข้าทำเพื่อเผด็จศึกทะลวงตาข่ายคู่แข่งให้จงได้ รวทไปถึงจังหวะสวนกลับฉับพลันหรือ counter attack ที่เปรียบเป็นเครื่องหมายการค้าของทีม ก็กลับมามีคุณภาพที่เห็นผลได้อย่างเนียนตาดีเหลือเกินในตอนนี้ Manchester united

ผลงานสุดสะเด่าของ มาติช

ตอนแรกดูเหมือนว่าอนาคตของ มาติช ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด จะหมดลงไปแล้วเมื่อมิดฟิลด์รุ่นน้อง 2 คนอย่าง เฟร็ด และ แม็คโทมิเนย์ มีผลงานสุดสะเด่าผสมผสานฝีเท้ากันได้อย่างลงตัว แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้ของ มาติช เหมือนเจ้าตัวจะเรียกฟอร์มเก่งให้กลับมาได้แล้ว บวกกับเมื่อเขาได้รับโอกาส และสามารถคว้ามันเอาไว้ได้ด้วย โดยใน 2 เกมลีกล่าสุด มาติช สามารถยึดตัวจริงของทีมได้ และลงเล่นในบทบาทของตัวตัดเกม คอยเก็บกวาดแดนกลางให้กับทีม ซึ่งในเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ผลงานของเขาว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่มันมาทะลุปรอทแตกในเกมกับ ไบร์ทตัน นี่แหละ ทั้งตัดเกม, จ่ายบอล หรือครองบอล เขาทำได้มันได้อย่างเนียนตา รวมไปถึงจังหวะวอลเลย์พลิกจากรับเป็นรุกนำมาซึ่งประตูที่ 3 ของทีมนั้นแหละ ซึ่งเมื่อมาพิจารณาสถานการณ์ในตอนนี้แล้วมีความเป็นไปได้สูงที่ มาติช จะยึดพื้นที่ 11 ตัวจริงของทีมได้ เบียดทั้ง เฟร็ด และ แม็คโทมิเนย์ ไปรอโอกาสที่ข้างสนามก่อน แต่อย่างไรก็ตามด้วยแมตช์การแข่งขันที่ถี่ยิบเชื่อว่ายังไง โซลชา ก็ต้องหมุนเวียนนักเตะไปเรื่อยๆ เพื่อความสดใหม่ของนักเตะในทุกๆ เกม

แนวรับที่แน่นขึ้น

ประเด็นนี้มันสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเกมการแข่งขันถูกสั่งพักไปเพราะในช่วง 8 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีกพวกเขาเสียประตูไปเพียง 2 ลูกเท่านั้น แต่ถ้านับเฉพาะหลังช่วงโควิดลงเล่นเกมลีกไป 3 นัด เสียไปเพียงประตูเดียวเท่านั้น  ซึ่งนี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ทีมกลับไปเก็บชัยได้มากขึ้น และเปลี่ยนผลการแข่งขันในหลายๆ เกมได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้าที่กล่าวไปทีมมักเสียประตูง่ายๆ คู่แข่งขึ้นเกมมาในรูปแบบไหนก็มีโอกาสเสียประตูแทบทุกจังหวะ ซึ่งแน่นอนมันแตกต่างจากตอนนี้มากพอควร โอเคล่ะว่ามันอาจจะยังไม่แข็งแกร่งดั่งหินภาเหมือนกับยุคของ ริโอ กับ วิดิช แต่อย่างน้อยนี่เป็นอีกหนึ่งพัฒนาการที่มองเห็นได้ชัดว่า โซลชา แก้ไข และปรับปรุงผลงานของลูกทีมไปในทิศทางที่ดีขึ้น

- เปา ขอบสนาม -

ติดตามไลน์ขอบสนามเพิ่มเติม เพิ่มเพื่อน
logoline