logo-heading

ค่ำคืนนี้ ที่ ลิเวอร์พูล จะต้องบุกไปเยือน โรม่า นับให้ชวนนึกถึงวันวานของทัพ "หงส์แดง" ผู้เคยครองความยิ่งใหญ่ใน ยุค 80s และเคยมีความทรงจำอันยอดเยี่ยม กับการโมแข้งในสังเวียน สตาดิโอ โอลิมปิโก ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี

ปูมหลัง ย้อนกลับไปเมื่อปี 1984 ลิเวอร์พูล เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดแดน "ผู้ดี" กรุยทางเข้ามาสู่นัดชิงชนะเลิศ "ยูโรเปี้ยน คัพ" ไปพบกับ อาแอส โรม่า แชมป์แห่งเมือง "มะกะโรนี" แต่เสมือน "หมาป่าเหลือง-แดง" มีศักดิ์เป็นเจ้าบ้าน เพราะได้ลงเตะในสนามที่คุ้นเคยอย่าง "กรุงโรม" อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้น "หงส์แดง" มีสถานะที่สามารถข่มขู่ได้มากกว่า เพราะสถาปนาตัวเองเป็นแชมป์ยุโรป มาแล้ว 3 สมัย ในปี 1977, 1978 และ 1981 ขณะที่ โรม่า เพิ่งผ่านเข้ามาชิงดำบนเวที ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นครั้งแรก ลิเวอร์พูล พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เพราะก่อนการแข่งขันกับ โรม่า จะเริ่มขึ้น พวกเขามีโอกาสคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครอง หลังสามารถซิวแชมป์ลีก 3 สมัยซ้อน, เป็นแชมป์ มิลค์ คัพ (ลีก คัพ ปัจจุบัน) ด้วยการชนะคู่อริร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน 1-0 แต่กระนั้น โรม่า ก็ซิวโทรฟี่ โคปปา อิตาเลีย มาได้เช่นกัน ถึงแม้ "เร้ด แมชชีน จะมีประสบการณ์มากกว่า คว้าแชมป์มาได้เยอะกว่า แต่ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน 1984 โรม่า ถูกยกให้เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ เพราะการได้เล่นในรังเหย้าของตัวเอง" เกมการแข่งขัน ลิเวอร์พูล ยุคนั้น โจ เฟแกน นั่งแท่นเป็นกุนซือ ผู้สืบทอดตำนานบูทรูมต่อจาก บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และ บ็อบ เพรสลี่ย์ ส่วนนักเตะนำทัพโดย เอียน รัช ดาวยิงหน้าติดหนวด, เคนนี่ ดัลกริช, อลัน เคเนดี้ และ แกรม ซูเนสส์ กัปตันทีม เป็นต้น ส่วน โรม่า มี โรแบร์โต้ ปรุซโซ่ ดาวซัลโวประจำทีม, บรูโน่ คอนติ ดีกรีแชมป์ ฟุตบอลโลก 1982 และ ฟัลเกา ปราการหลังชาวแซมบ้า เป็นตัวชูโรง เคเนดี้ ตำนานแข้ง "หงส์แดง" ได้ย้อนความทรงจำไว้ว่า “ลิเวอร์พูล มีทีมที่ดี และเราไม่เกรงกลัวใครโดยเฉพาะในเวลานั้น เมื่อเราเดินทางไปเล่นนอกบ้านในเกมยุโรป เราต้องการทำให้กองเชียร์เจ้าบ้านเงียบกริบมากที่สุด” ว่ากันว่านักเตะของ ลิเวอร์พูล ทำให้แข้ง "หมาป่า" ต้องงงกันเป็นแทบๆ เมื่อจู่ๆก็ร้องเพลง “I Don’t Know What It Is But I Love It” ของ คริส เรีย แถม บรู๊ซ กร็อบเบลาร์ ยังทำท่าดีดกีตาร์อย่างสบายอารมณ์ กระนั้น "หงส์แดง" ใช้แทคติคลงไปตั้งโซนมากกว่า และ รอจังหวะเล่นงานโรม่า ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อเป็นความผิดพลาดของนักเตะ "หมาป่าเหลืองแดง" ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะยิงเก็บตกของ ฟิล นีล แบ็กขวา น.13 โดย 2 นาทีถัดมา ซูเนสส์ วอลเล่ย์เข้าไปซุกตาข่ายได้อีก แต่ทว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ โรม่า มีศักดิ์เหมือนเจ้าบ้าน พวกเขาเปิดเกมรุกใส่ ลิเวอร์พูล จนกระทั่งก่อนหมดเวลาครึ่งแรก โรแบร์โต้ ปรุซโซ่ หัวหอก "หมาป่า" จัดการโหม่งย้อยข้ามตัว บรู๊ซ กร็อบเบลาร์ ไปแบบเหนือชั้น สกอร์มาเท่ากันที่ 1-1 และจบลงด้วยสกอร์นี้เมื่อครบ 90 นาที รวมไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ต้องไปฎีกาถึงการซัดจุดโทษ บรรยากาศมันเต็มเปี่ยมไปด้วยกดดัน ถึงแม้จะเจนสนามขนาดไหน คุณก็ไม่อาจยับยั้งให้หัวใจมันเต้นช้าลงได้ มือสังหารคนแรกของ ลิเวอร์พูล คือ สตีฟ นิโคล ถ้าเริ่มต้นสวย มันจะทำให้กำลังใจของทีมเพิ่มขึ้น แต่ทว่าเขาทำพลาด ซัดโด่งข้ามคานออกไป ส่วน โรม่า ได้ อกอสติโน ดิ บาร์โตโลเม่ กัปตันทีมยิงเข้าไปไม่เหลือ จากนั้นตำนานที่ถูกกล่าวขานอย่าง “ขาแมงมุม” ของ กร็อบเบลาร์ ก็ทำได้โลกให้เห็นกันต่อ เพราะมีส่วนทำให้นักเตะ โรม่า ยิงพลาดถึง 2 คน จนกระทั่งถึง อลัน เคเนดี้ คนสุดท้าย ผู้ที่ไม่เคยอยากยิงจุดโทษ และ โดนเพื่อนสบประมาทว่าคงยิงไม่เข้าแน่นอน แต่ต้องกลายมาเป็นคนชี้ชะตาว่า "หงส์แดง" จะคว้าแชมป์ได้หรือไม่ เคเนดี้ ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆว่า "แกอย่าเปลี่ยนใจ เลือกมุมไหน ยิงตรงไหน" แต่สุดท้าย เคเนดี้ เลือกเปลี่ยนมุมและแปบอลด้วยเท้าซ้ายเข้าประตูพาให้ "หงส์แดง" ชนะ โรม่า 4-2 ช่วงดวลจุดโทษ คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ สมัย 4 ไปอย่างยิ่งใหญ่ "นับเป็นความทรงจำที่ยังหวานอยู่" วันเวลาผ่านมาแล้ว 34 ปี แต่คงมีความทรงจำมากมาย ผุดอยู่ในหัวของ เอียน รัช และ "คิง เคนนี่" เพราะทั้ง 2 คน ยังคงเป็นตำนานและรับบททูตให้กับสโมสร ลิเวอร์พูล และจะได้กลับมาเยือนสนามแห่งนี้อีกครั้ง ถึงแม้บทบาทจะเปลี่ยนไป ฉะนั้นมันคงเป็นเรื่องชื่นใจไม่น้อยสำหรับ เอียน รัช และ ดัลกริช รวมถึงสาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลก ถ้าได้เห็น ลิเวอร์พูล ผ่าน โรม่า ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ กับ เรอัล มาดริด
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline