logo-heading

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เด็กน้อยจากเมืองนากริก ประเทศอียิปต์ ห่างจากไกลจากเมืองหลวง กรุงไคโร ราว 100 ไมล์ จากเด็กบ้าฟุตบอลคนหนึ่ง ที่มีความใฝ่ฝันอยากเติบโตเป็นนักฟุตบอล เหมือน ซีเนอดีน ซีดาน, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ หรือ โรนัลโด้ เหล่าฮีโร่ในดวงใจของเขา

มาวันนี้ ซาลาห์ กำลังจะนำทัพ “หงส์แดง” ลงชิงชัยรายการสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวทียุโรป อย่าง “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” พบกับ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์ 12 สมัย หลังห่างหายมานาน 11 ปี

ก่อนที่ ซาลาห์ จะเดินทางถึงจุดนี้ได้ เขาฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ไปย้อนดูชีวิตของดาวเตะทีมชาติอียิปต์กันว่ากว่าจะมาเป็น “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ปี 2005-2010 : จุดเริ่มต้นสู่นักฟุตบอลอาชีพ ปี 2005 : ซาลาห์ เตะบอลกับเพื่อนแถวบ้าน ตามข้างถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นปลิวว่อน เขาเก่งถึงขนาดที่ไม่มีใครแย่งบอลจากเท้าเขาได้ จนผลักดันตัวเองไปทดสอบฝีเท้ากับ บาซียูน ทีมในลีกท้องถิ่น แต่ทว่ามีแมวมองจากสโมสร เอล โมเคาลูน ทึ่งในฝีเท้านักเตะรายนี้ และเรียกให้ไปฝึกซ้อมกับสโมสรที่ใหญ่กว่า ซาลาห์ ต้องขาดเรียนหลายครั้ง เพราะเขาต้องนั่งรถบัสไป-กลับ เพื่อมุ่งสู่กรุงไคโร รวม 8 ชั่วโมง เพื่อไปฝึกซ้อมแต่ล่ะครั้ง เขาทำแบบนั้นตลอดถึง 5 วัน ต่อ สัปดาห์ ปี 2006 : ซาลาห์ ได้เข้าสู่ทีม เอล โมเคาลูน อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสโมสรที่เรืองอำนาจของลีกอียิปต์ ในยุคนั้น ปี 2008 : มีอยู่เกมหนึ่ง ซาลาห์ ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับ เอล โมเคาลูน รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี โดยทีมสามารถชนะ ENPPI ถึง 4-0 แทนที่จะดีใจ แต่ไม่ใช่แบ็กซ้ายคนหนึ่งนามว่า ซาลาห์ เขากลับนั่งร้องไห้ เพราะล็อคหลบคู่แข่ง ไปดวลกับผู้รักษาประตู เขาทำแบบนั้นได้ถึง 5 ครั้ง แต่ดันซัดไปผ่านนายทวารเลยสักครั้ง นับตั้งแต่นั้น เอล ชิชินี่  กุนซือของทีม ให้เงิน 25 ปอนด์ เป็นรางวัลตอบแทน และ คิดวิธีให้ ซาลาห์ ฉายแสงมากกว่าเก่า ด้วยการให้เลิกเล่นแบ็กซ้ายตลอดชีพ และ ขยับมาเป็นปีกตัวรุกฝั่งขวาแทน ปี 2010 : หลังจาก ซาลาห์ ครองดาวซัลโว ในรุ่นยู-16 และ ยู-17 เขาถูกดันสู่ชุดใหญ่เต็มตัว ด้วยวัย 18 ปี โดยเพียงแค่ 2 ปีต่อจากนั้น ซาลาห์ ก็ถูกเรียกติดทีมชาติอียิปต์ มี.ค. 2012 : ลีกยุโรปที่ ซาลาห์ ใฝ่ฝัน จุดเปลี่ยนแห่งชีวิตของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เกิดขึ้น เมื่อนำทีมชาติอียิปต์ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ไปอุ่นเครื่องกับ บาเซิ่ล ทีมดังจากสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน โอลิมปิก เกมส์ แมตช์นั้น ซาลาห์ เป็นสำรอง แต่ลงมาแล้วกลับซัดคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ อียิปต์ ยู-23 เอาชนะ บาเซิ่ล 4-3 ทำให้ในเดือนเมษายน ต่อมา บาเซิ่ล ประกาศเซ็นสัญญายาวกับ ซาลาห์ 4 ปี ทันที ปี 2013-2014 : ฟอร์มเตะตา เชลซี ซาลาห์ มีปัญหาช่วงแรกกับ บาเซิ่ล เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษ หรือ เยอรมัน ไม่ได้เลย แต่เวลาเป็นช่วยปรับตัว จนเขากลายเป็นตัวหลักของสโมสร จุดแจ้งเกิดแห่งดาวเตะจากเมืองนากริก ก็คือการยิงประตู พร้อมกับเขี่ย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตกรอบ 8 ทีม ยูโรปา ลีก และก็มาซัดใส่ เชลซี ได้อีกครั้ง ถึงแม้จะตกรอบก็ตาม ข้ามมาอีกซีซั่น ซาลาห์ ได้นำทีม บาเซิ่ล มาเจอกับ เชลซี อีกครั้ง ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเขาก็เป็นคนจัดการใส่สกอร์ถลุง “สิงห์บลูส์” ทั้งเกมเหย้าและเยือน ม.ค. 2014 : ซาลาห์ สู่เวที พรีเมียร์ลีก หลังจากได้ฝากรอยเท้าให้กับ เชลซี ได้ตกตะลึงในการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ "สิงห์บลูส์" ตัดสินใจปาดหน้า ลิเวอร์พูล คว้าตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาเสริมทัพ ด้วยเม็ดเงิน 16 ล้านปอนด์ ก่อนจะมอบหมายเลข 15 ให้เป็นของขวัญ โดยการมาของ ซาลาห์ ก็เป็นช่วงเวลาเขี่ย ฆวน มานูเอล มาต้า ให้พ้นออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก.พ. 2014 : ความทรงจำครั้งแรก นับเป็นวันที่ ซาลาห์ คงไม่มีทางลืม เมื่อเขาได้รับโอกาสจากทาง โชเซ่ มูรินโญ่ ให้ลงไปสัมผัสบรรยากาศเกม พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในฐานะตัวสำรอง นัดที่ "สิงห์บลูส์" ชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3-0 แต่ในความประทับใจ กลายมาเป็นเครื่องหมายคำถามเรื่องฝีเท้าของดาวเตะทีมชาติอียิปต์ เพราะ "เดอะ สเปเชียล วัน" ไม่พอใจกับฟอร์ม ซาลาห์ แมตช์แพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน รวมถึงปราชัยให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ศึก เอฟเอ คัพ ต.ค. 2014 : ฟางเส้นสุดท้ายกับ เชลซี ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับ ซาลาห์ กับ เชลซี หลังจากระหองระแหงกันมานาน ก็คือการแข่งขัน ลีก คัพ รอบ 4 เมื่อซีซั่น 2014-15 แมตช์นั้น เชลซี ต้องบุกไปเยือน ชรูว์สบิวรี่ ซึ่งเป็นทีมจากลีก ทู โดย ซาลาห์ มีชื่อเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง โอกาสที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งมาถึงแล้ว เพราะ ชรูว์สบิวรี่ แทบไม่มีหนทางสู้อยู่แล้ว แต่ทว่ากลายเป็นสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้กับ มูรินโญ่ เพราะสุดท้ายแล้ว เชลซี บุกเฉือนชนะไปแค่ 2-1 ถึงขั้นที่เฮดโค้ชรายนี้ออกอารมณ์ฉุนเฉียวผ่านสื่อ และบอกตรงๆเลยว่า "ซาลาห์" คือนักเตะที่เล่นแย่ ม.ค. 2015 : โบกมือลา สแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังจากเกมที่ ซาลาห์ โดน มูรินโญ่ บ่นออกสื่อ เขาก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงอีกเพียงแค่ 2 นัด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเกมแพ้ แบรดฟอร์ด แบบพลิกล็อค 2-4 นับจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ ก็มีอันต้องเก็บข้าวของย้ายไปอยู่กับ ฟิออเรนติน่า ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ด้วยสัญญายืมตัว 18 เดือน เพื่อแลกตัวกับ ฮวน กวาดราโด้ ก.พ. 2015 : ประตูและแอสซิสต์แรกกับ "ม่วงมหากาฬ" ซาลาห์ เลือกใส่หมายเลข 74 ให้กับ ฟิออเรนติน่า เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้ง 74 คน จากเหตุการณ์จราจล ในสนาม "พอร์ท ซาอิด สเตเดี้ยม" เมื่อปี 2012 โดยเกมแรกที่แนวรุกทีมชาติอียิปต์ได้ลงสนามเป็นตัวจริง คือวันที่ 14 ก.พ. พบกับ ซาสซูโอโล่ เพียงแค่ 30 นาทีแรก ซาลาห์ ก็บันทึกสกอร์ให้กับสโมสร จากนั้น 2 นาทีให้หลัง เขาก็แอสซิสต์ให้กับ คูม่า บาบาการ์ ทำประตู พาทีมชนะ 3-1 นอกจากนี้ ซาลาห์ ยังคงซัลโวประตูแรกในเวทียุโรป ให้กับ ฟิออเรนติน่า ในศึก ยูโรปา ลีก ด้วยการซัดใส่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พร้อมพาทีมกรุยทางผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ส.ค. 2015 : ก้าวที่ใหญ่ขึ้นของ ซาลาห์ ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ ซาลาห์ ที่ฝากไว้กับ ฟิออเรนติน่า ทำให้ โรม่า ตัดสินใจไปยืมตัวใช้งาน โดยยอมเสียค่าเช่าถึง 5 ล้านยูโร พ่วงออปชั่นซื้อขาดอีก 15 ล้านยูโร โดยเกมแรกที่เขาลงเล่นให้กับ "หมาป่าเหลือง-แดง" คือนัดเสมอกับ เวโรน่า 1-1 ก.ย. 2015 : ประตูแรกกับสโมสร วันที่ 20 ก.ย. ได้ถูกบันทึกไว้ว่า ซาลาห์ ได้ทำประตูแรกให้กับสโมสร โรม่า นัดเสมอกับ ซาสซูโอโล่ 2-2 หลังจากนั้นประตูก็ไหลมาเทมา ยิงได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเกมฟาดแข้งกับ ซามพ์โดเรีย, คาร์ปิ หรือ กฎยิงประตูทีมเก่าอย่าง ฟิออเรนติน่า ก็ตาม จบฤดูกาล ซาลาห์ กลายเป็นดาวซัลโวของ สโมสร ที่ 15 ประตู รวมทุกรายการ (แบ่งเป็นแมตช์ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 14 นัด) และ อีก 6 แอสซิสต์ พร้อมกับถูกเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่น ส.ค. 2016 : กลายเป็นร่าง หมาป่า เต็มตัว โรม่า ตัดสินใจใช้ออปชั่นซื้อ ซาลาห์ มาร่วมทีมถาวร จากอ้อมอก เชลซี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ ยุโรปต้องหันมาจับตามอง ซาลาห์ มากขึ้น เพราะฟอร์มการเล่นที่ยกระดับ ซีซั่น 2016-17 ซาลาห์ ซัลโวให้กับ โรม่า มากถึง 15 ประตู ในเวที กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่งเคยมีการทำแฮตทริคใส่ โบโลญญ่า 3-0 เมื่วันที่ 6 พ.ย. ที่่ผ่านมา และช่วยทีมจบรองแชมป์ในที่สุด มิ.ย. 2017 : บทตำนานได้เริ่มขึ้น หลังจาก ซาลาห์ โชว์ฟอร์มฮอตปรอทแตกให้กับ โรม่า ทำให้ ลิเวอร์พูล ยอมทุบคลังจ่ายเงินเป็นสถิติสโมสรขณะนั้นเพื่อดึงตัว ซาลาห์ มาเสริมทัพด้วยเม็ดเงิน 39 ล้านปอนด์ พร้อมกับสวมใส่เบอร์ 11 ให้กับ "หงส์แดง" ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ขยับไปใส่หมายเลข 9 แทน ส.ค. 2017 : ซาลาห์ ฉายแวว ด้วยความที่ล้มเหลวกับ เชลซี สมัยแรก ทำให้มีผู้คนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับฝีเท้าของ ซาลาห์ แต่กระนั้นดาวเตะทีมชาติอียิปต์ พิสูจน์ให้เห็นว่าคนเหล่านั้นคิดผิด เมื่อเขาซัดประตูในนัดแรกได้ทันที เกมเสมอ วัตฟอร์ด 3-3 จากนั้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม ก็ยังซัลโวให้ "หงส์แดง" เอาชนะ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 4-2 ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ เพลย์ออฟ ต่อด้วยการซัดประตูและแอสซิสต์ แมตช์ที่ "หงส์แดง" ชนะ อาร์เซน่อล 4-0 ด้วยสปีดแบบจรวดทางเรียบ พ.ย. 2017 : กลับมาเจอทีมเก่า เชลซี ความทรงจำทั้งดีและร้าย คงว่ายเวียนเต็มสมองของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เมื่อครั้งเขาได้เจอกับ เชลซี โดยแมตช์นี้ ซาลาห์ สามารถทำประตูขึ้นนำให้กับ ลิเวอร์พูล และปฏิเสธที่จะวิ่งดีใจ เพื่อให้เกียรติกับอดีตต้นสังกัด ก่อนจะจบเกมเสมอกันไป 1-1 อย่างไรก็ตามในเดือน พ.ย. - ธ.ค.  ซาลาห์ สามารถทำได้ถึง 4 ประตู ในเกมบุกไปเยือนคู่แข่ง 4 นัด พร้อมกับช่วยทีมสร้างสถิติเป็นทีมแรกของเกาอังกฤษ ที่สามารถบุกชนะคู่แข่ง 4 เกมรวด ด้วยการยิง 3 ประตูขึ้นไป พร้อมสถาปนาตัวเอง เป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ซัดได้ 20 ตุง เร็วที่สุดของสโมสร มี.ค. 2018 : ไม่มีใครหยุด ซาลาห์ ได้ ย้อนกลับไปวันที่ 17 มี.ค. 2018 ณ ขณะนั้น ซาลาห์ กำลังฮอตสุดๆ โดยถึงขั้นซัด 4 ประตู ให้กับทัพ "หงส์แดง" แมตช์ชนะ วัตฟอร์ด 5-0 และสร้างสถิติซัดถึง 36 ตุง เพียงแค่ซีซั่นแรกกับ ลิเวอร์พูล พร้อมนำเป็นดาวซัลโว เหนือ ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ แฮร์รี่ เคน เม.ย. 2018 : เดือนแห่ง ซาลาห์ ซาลาห์ เริ่มต้นเดือน ด้วยการต้องเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย และเป็น "เดอะ แบก" ซัดประตูใส่ "เรือใบสีฟ้า" ทั้งเหย้าและเยือน พาทีมกรุยทางสู่รอบแบ่งกลุ่มด้วยสกอร์ 5-1 รวมผล 2 นัด จากช่วงปลายเดือน 22 เม.ย. ซาลาห์ ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ "พีเอฟเอ" เอาชนะ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ผู้พา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก พร้อมกับมีชื่อ ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปี เช่นเดียวกัน 2 วันต่อมา ซาลาห์ ได้เจอกับทีมเก่าอีกครั้ง คราวนี้เป็น โรม่า ในศึก "ยูซีแอล" รอบตัดเชือก ณ ตอนนั้น ซาลาห์ กำลังพีคสุดขีด โดยโชว์ฟอร์มทั้งปั้นไซร้. งัดบอลข้ามผู้รักษาประตู ช่วยให้ "หงส์แดง" ชนะ โรม่า 5-2 พร้อมถูกมองว่ามีโอกาสท้าทาย บัลลง ดอร์ ก่อนที่สัปดาห์ถัดไปจะบุกไปแพ้ 2-4 แต่ดีพอผ่านถึงรอบชิงชนะเลิศ พ.ค. 2018 ลิเวอร์พูล ออกอาการเป๋ เพราะ ซาลาห์ ก็ฟอร์มฝืด ไม่ยิงประตูมาหลายนัด ทำให้สถิติดาวซัลโวสูงสุดต่อ 1 ซีซั่น ในระบบการแข่งขัน 38 นัด ยังไม่ถูกทำลาย จนกระทั่งถึงนัดสุดท้าย และ เดิมพันตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า 13 พ.ค. 2018 ได้ถูกจารึกไว้ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียว ที่สามารถซัดประตูในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ต่อ 1 ซีซั่น ได้มากที่สุด หลังทำ 1 ตุง ช่วยให้ "หงส์แดง" ไล่ถล่ม ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 4-0 พร้อมพาต้นสังกัดจบอันดับ 4 26 พ.ค 2018 จากเด็กทั่วไป ที่เตะบอลข้างถนนกับเพื่อนๆ ผ่านมา 12 ปี วันเสาร์นี้ ซาลาห์ เตรียมนำทัพ "หงส์แดง" ก้าวลงสู่สนามเพื่อหวังล้มบัลลังค์ของ เรอัล มาดริด ซึ่งมีนักเตะระดับโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มารอดูกันว่า ซาลาห์ จะสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จหรือไม่
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline