ฟุตบอลลีกไทยอยู่ในช่วงปิดฤดูกาล แต่กระแสข่าวการย้ายทีมยังคงคึกคักต่อเนื่อง สนนราคาการซื้อ-ขายตัวผู้เล่นส่วนใหญ่ว่ากันถึงหลักล้านและหลายสิบล้านบาท
ถ้าย้อนกลับไปสัก 20 ปีที่แล้วคงไม่มีใครกล้าคิดเหมือนกันว่าฟุตบอลไทยจะมาถึงจุดนี้ จุดที่นักเตะมีรายได้ที่งดงาม จากเงินเดือนหลักพัน หลักหมื่น ทะลุไปหลักแสนจนถึงหลักล้าน
เคยมีคนถามเยอะว่าทำไมฟุตบอลไทยถึง
“บูม” หลายคนมีมุมมองที่แตกต่างกันไป ส่วนตัวแล้วเชื่อว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญด้วยกัน
อันดับแรกเลยคือการ
“รวมลีก” ระหว่าง
“โปรลีก” และ
“ไทยลีก” เข้าด้วยกัน นี่คือจุดสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลไทยไปตลอดกาล
ฟุตบอล
“ไทยลีก” ของ
สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ออกสตาร์ทก่อนตั้งแต่พ.ศ.2539 ด้วยคุณภาพของสโมสรชั้นนำเมืองไทย และมาตรฐานนักเตะระดับประเทศ
ส่วนฟุตบอล
“โปรวินเชียนลีก” หรือ “โปรลีก” ของ
การกีฬาแห่งประเทศไทย ก่อกำเนิดเมื่อพ.ศ.2542 ด้วยเป้าหมายที่ระบุชัดว่า
“ฟุตบอลอาชีพเพื่อนำร่อง”
มาตรฐานนักเตะโปรลีกอาจจะเป็นระดับภูธร แต่จุดขายคือ
“ท้องถิ่นนิยม” เพราะทีมที่ร่วมแข่งขันคือจังหวัดที่มีความผูกพันกับคนในพื้นที่
ช่วงปีแรกๆต่างฝ่ายต่างเตะกันไป แฟน “โปรลีก” ของทีมจังหวัดต่างๆเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มาตรฐานฟุตบอล “ไทยลีก” ยังดีกว่า แต่
“จำนวนคนดู” เริ่มถูกนำมาเปรียบเทียบกัน
แนวคิดการ “รวมลีก” จึงถูกจุดขึ้นมาเพื่อนำจุดเด่นของทั้ง 2 ลีกมารวมเข้าด้วยกัน นั่นคือความเป็นท้องถิ่นนิยมของ “โปรลีก” กับมาตรฐานฟุตบอลของ “ไทยลีก”
กระแสเรียกร้อง “รวมลีก” เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆจนมีแฟนบอลชูป้ายในสนามว่า
“กทม.ลีกของใคร โปรลีก ลีกอาชีพของคนไทยทั้งประเทศ”
ที่สุดแล้วหลังต่อสู้กันมาหลายปี การ “รวมลีก” ของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ กกท. ก็สามารถรวมกันได้สำเร็จ นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการฟุตบอลไทย
แม้จะมีการวิเคราะห์กันว่าทีม “โปรลีก” คงยากที่จะสู้กับ “ไทยลีก” ได้ แต่แค่ไม่กี่ปี “ฉลามชล”
ชลบุรี จัดการทำลายความเชื่อนี้หมดสิ้นด้วยการคว้าแชมป์ไทยลีกมาครองได้สำเร็จ
การ “รวมลีก” ทำให้ทีมจังหวัดเริ่มก้าวเข้าสู่สารบบฟุตบอลอาชีพมากขึ้น หลังจากนั้นกระแสความน่าสนใจก็มีตามมา ไม่ใช่เตะกันเอง ดูกันเอง...อีกแล้ว
ปัจจัยสำคัญอันดับสองที่ตามมาคือการที่
“สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย” (เอเอฟซี) ออก
“คลับ ไลเซนส์ซิง” บังคับให้ชาติสมาชิกได้ดำเนินการพัฒนาไปสู่คำว่าฟุตบอลอาชีพ
“บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด” จึงกำเนิดขึ้นมา ขณะที่สโมสรต้องจดทะเบียนเป็น
“นิติบุคคล” ในนามบริษัทเพื่อดำเนินการในเรื่องฟุตบอล
ถึงตรงนี้หลายสโมสรที่อยู่มายาวนานด้วยรากเหง้าของการเป็นทีม
“องค์กร” จึงต้องปรับตัว บางทีมอยู่ได้ แต่บางทีมจำต้องเลิกลา เพราะข้อกำหนดหลายอย่างที่บังคับใช้
ที่สุดแล้วฟุตบอลไทยก็เตะกันไปปรับตัวกันใหม่จนเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ วันที่นักเตะมีเงินเดือนสูงกว่าคนจบปริญญาเอก หลายคนมีงานทำเพราะฟุตบอล
สิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยว่ากันไปถึงระดับร้อยล้านบาท พันล้านบาทแล้ว
ขณะที่จำนวนทีมในลีกส่วนใหญ่กลายเป็นทีมจังหวัดหมดแล้ว เอาแค่ “ไทยลีก” ฤดูกาลหน้าหากนับจริงๆ มีแค่ทีมเดียวที่ใช้สนามในกรุงเทพมหานครคือ
“การท่าเรือ”
ส่วนทีมอื่นๆออกไปเตะกับตามปริมณฑลและต่างจังหวัดกันหมดแล้ว คำว่า
“กทม.ลีก” ไม่มีอีกต่อไป บางสัปดาห์ไม่มีเตะกันในกรุงเทพและปริมณฑลเลยด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ “รวมลีก” ในวันนั้น ก็คงไม่มี “ไทยลีก” ที่กระจายไปทั่วไทยอย่างวันนี้ แล้วถ้า “เอเอฟซี” ไม่บังคับ “คลับ ไลเซนส์” สโมสรไทยก็คงยังเป็นมือสมัครเล่นกันต่อไป
ทุกวันนี้จึงต้องยอมรับว่าฟุตบอลไทยพัฒนาขึ้นมามาก แต่ถามว่าลีกไทยโตแบบ
“กลวงข้างใน” หรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง
ต้องยอมรับว่าปัญหายังมีอีกมากมาย อาทิบางสโมสรเหนียวหนี้ หลายทีมขาดทุนยับ นักเตะไม่ได้รับความเป็นธรรม ทีมย้ายสนามหรือถิ่นฐานกันเป็นว่าเล่น
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องพยายามช่วยกันแก้ไขเพื่อให้ลีกไทยแข็งแกร่งแบบยั่งยืนจริงๆ อย่าไปหลงไหลได้ปลื้มกับแค่ไม่กี่ทีมที่ประสบความสำเร็จยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว
“เอเอฟซี” เคยบอกเอาไว้ว่า
“มาตรฐานของลีกอยู่ที่ทีมอันดับสุดท้ายของตารางคะแนน ไม่ใช่ทีมที่อยู่บนหัวตารางคะแนน”
ดังนั้นการพัฒนาหรือออกกฎใดๆควรให้เดินไปด้วยกันหรือโตไปพร้อมกันได้ทั้งลีก อย่าง
“โควต้าอาเซียน” ที่เถียงกันนานนั้นก็ไม่แน่ใจว่าเป็นแนวทางที่
“ใช่” หรือเปล่า ?
เข้าใจในความมุ่งมั่นของ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ต้องการให้ไทยเป็น
“ลีกอาเซียน” เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคนี้ รวมถึงเพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆที่วาดฝันไว้สวยหรู
แต่ดูแล้วแนวทางนี้อาจเกิดประโยชน์แค่กับไม่กี่ทีมที่มีความพร้อมและมีกำลังเท่านั้น มันจะกลายเป็น
“มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เสียมากกว่า
จุดขายที่ “โควตาอาเซียน” ดูแล้วยังไม่โดน ยิ่งไม่จำกัดคุณภาพแต่เน้นปริมาณยิ่งน่าห่วง รวมถึงถ้าว่ากันถึงการพัฒนานักเตะไทย หากพิจารณาดูจริงๆแล้วคิดว่า
“ไม่ตรงจุด” สักนิด !!!
ขออยู่ในฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวนโยบายนี้ เพราะคิดว่าลีกไทยยังมีอะไรที่น่าคิด น่าทำกว่าการเปิดโควตาอาเซียนเยอะ เอาเวลาไปคิดทำอย่างอื่นดีกว่าแยะ
“บับเบิ้ล”