logo-heading

ดูจบครั้งแรกผมต้องไปสารภาพกับ"พี่ดา" ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ผู้บริหาร Documentary Club ว่า "ผมไม่ดูไม่รู้เรื่องเลยครับ" เหตุผลที่รู้สึกอย่างนั้นคือ หนังไม่ได้เล่าเรื่องโดยเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ผู้ชม เพราะฉะนั้นมันจึงยาก ผมจึงตัดสินใจดูอีกรอบเพื่อเคลียร์ความสงสัยหลากหลายประเด็น ปรากฏว่ามีหลายๆสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราเข้าใจการตีความของ Roy Andersson ผู้กำกับชาวสวีดิช ที่นำเรื่องราวความโหดร้ายของมนุษย์มาขยายความให้ดาร์กได้ร้ายกาจมากๆ .

ข้อดี เริ่มรู้สึกพิศมัยหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้ว หนังมันเหมือนการจำลองภาพความโหดร้ายความทุกข์ยากของมนุษย์ที่เจอข้อจำกัดต่างๆ ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้นอกจากการตีแผ่ชีวิตคนเราแล้ว มันคือการเล่าให้ภาพและองค์ประกอบไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด ใช้แต่ละเหตุการณ์เล่าให้จบไปทีละฉาก ทำไมเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ผู้คนถูกกระทำ หนังเหมือนไหลปล่อยไปเหมือนเรากำลังเดินชมภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ซึ่งการวางเฟรมในแต่ละฉากสวยงามดั่งภาพวาดสีน้ำมันจริง ตัวละครแต่ละฉากเราไม่รู้ว่าที่มาที่ไปทำอะไร ปล่อยให้มีเสียงผู้หญิงบรรยายใส่อารมณ์เหงาๆดาร์กลงไป . หนังจึงไม่มีเรื่องย่อไม่มีเนื้อหาให้คนดูรับรู้เรื่องราวล่วงหน้า รู้อย่างเดียวคือดูการไล่เรียงแต่ละฉาก เราจะเจอภาพความเจ็บปวดของมนุษย์ในรูปแบบไหนเท่านั้น ตัวละครในแต่ละฉากจะเคลื่อนไหว พูดจา และแสดงอารมณ์ ด้วยความหดหู่สิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก แถมใบหน้ายังแต่งแต้มด้วยสีขาวจนซีดเผือด มันน่าตื่นเต้นมาก ที่ผู้กำกับตีความได้น่าทึ่ง และพิถีพิถันให้การเล่าเรื่องในเวลาประมาณ 70 กว่านาทีให้อารมณ์เหมือนกำลังดูละครเวทียังไงยังนั้น . ข้อเสีย ถ้าหากคุณชอบดูหนังกระแสหลัก เรื่องนี้ไม่เหมาะมาดูเป็นอย่างยิ่ง หนังเรื่องนี้ตีแผ่ความโหดร้ายของมนุษย์ที่เราพบเจอเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และวิธีการดำเนินเรื่องมันจะผิดแปลกจากหนังเรื่องอื่นๆที่เคยดูมา เพราะ Roy Andersson ไม่ได้เล่าเรื่องให้ประติดประต่อกันเลยสักนิด และเมื่อดูจบอาจเกิดคำถามขึ้นในหัว หนังอะไรวะเนีย . สรุป ชอบการถ่ายทอดปมชีวิตมนุษย์ที่มีความทุกข์ยาก ตีความได้หลากหลายอารมณ์สุข เศร้า สิ้นหวัง งดงาม งานสร้างออกแบบภาพสวยงามไร้ที่ติเหมือนภาพวาดศิลปะ แจกคะแนนรีวิว 8.5/10 ใครอยากเผชิญหน้าความดาร์ก อยากเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นว่าทำไมอ่อนแอ สามารถตีตั๋วไปดูที่ House Samyan ฉายแบบ Exclusive ที่เดียวในไทย
logoline