logo-heading

เป็นอีกเกม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ไม่ได้มีผลงานที่เข้าตาที่สุด แต่ก็เอาตัวรอดและเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ เมื่อไปเยือนและพลิกกลับมาชนะ คริสตัล พาเลซ ได้ 2-1 จะมีประเด็นอะไรน่าสนใจกันบ้าง ไปติดตามรับชมได้เลยครับ

หลังเกม !  หงส์แดง\" รอดตายอีกหนพลิกแซง พาเลซ 10 คน 2-1 ทะยา่นขึ้นฝูง

[ รูปเกมในภาพรวม ]

ด้วยสถิติการครองบอลที่มากกว่าอยู่ฝ่ายเดียวทั้งครึ่งแรกและครึ่งหลังในเรท 76-77 เปอร์เซนต์ หากดูจากตัวเลขตรงนี้ใครๆ ก็คิดว่า ลิเวอร์พูล คงชนะแบบสบายๆ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะโอกาส 4 ครั้งในครึ่งแรกก็ไม่ได้ตรงกรอบเลยสักครั้ง ไม่มีช็อตไหนที่ดูใกล้เคียงเลยจริงๆ 

ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ รอบ ฮ็อดจ์สัน และลูกทีม คริสตัล พาเลซ ที่วางแผนมาอย่างดีโดยเฉพาะการช่วยเหลือเกมรับ ผลัดกันเข้าผลัดกันซ้อนตั้งแต่แดนกลางจนถึงแนวหน้าบ้านของตัวเอง

[ VAR วันนี้ไม่มีดราม่า ]

ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครองเกมและเดินหน้าบุกอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็หวิดโดนประตูขึ้นนำตั้งแต่ช่วงกลางครึ่งแรกเมื่อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปทำฟาวล์ ออดด์ซอนน์ เอดูอาร์ ในกรอบเขตโทษ แต่ VAR ช่วยชีวิตเอาไว้เพราะจังหวะก่อนหน้าบอลจะหลุดเข้ามานั้นมันชัดเจนว่า วิล ฮิวจ์ส ไปทำฟาวล์ใส่ วาตารุ เอ็นโด จริงๆ ทั้งโอบกอดและเตะเข้าไปจากด้านหลัง

แต่สุดท้าย แอนดี้ แมดลี่ย์ ก็เป่าให้จุดโทษกับทางเจ้าถิ่นอีกครั้งในช่วงนาที 57 ซึ่งนั่นคือจังหวะที่ ลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรแก้ตัว เมื่อ จาร์เรลล์ ควอนซาห์ เจตนาคือการเคลียร์บอลทิ้งก็จริง แต่ ฌอง ฟิลิปป์-มาเตต้า เข้าถึงบอลก่อนจึงกลายเป็นการเตะเข้าไปที่ขาแบบเต็มๆ และนำมาซึ่งประตูขึ้นนำ 1-0 ของเจ้าถิ่น "ปราสาทเรือนแก้ว"

ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่มีข้อกังขาถึงการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน รวมไปถึงทีมงานจากในห้อง VAR เพราะนั่นคือการตัดสินที่ถูกต้องแล้ว

[ จุดเปลี่ยนสำคัญ ]

หลังเกม !  หงส์แดง\" รอดตายอีกหนพลิกแซง พาเลซ 10 คน 2-1 ทะยา่นขึ้นฝูง

หลังจากได้ประตูขึ้นนำ บวกกับระบบระเบียบเกมรับที่ดีเยี่ยมของ คริสตัล พาเลซ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล แทบสร้างความอันตรายใดๆ ไม่ได้เลยกว่า 70 นาที ถึงแม้จะเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึงช่วงใกล้ๆ นาที 70 เมื่อ เจฟเฟอร์สัน เลอร์ม่า คนที่เป็นหัวใจสำคัญในแดนกลาง คอยตัดเกมและช่วยเหลือเกมรับดันมาเจอปัญหาอาการบาดเจ็บและโดนเปลี่ยนตัวออกไป เท่านั้นยังไม่พอเพราะอีกราวๆ 5 นาทีต่อมา จอร์แดน อายิว ก็จำใจต้องเบรกเกมสวนกลับของ ลิเวอร์พูล ก่อนเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามไป

เกมดังกล่าวเหลือเวลาราวๆ 15 นาทีด้วยตัวผู้เล่นของ คริสตัล พาเลซ ที่น้อยกว่า 1 คน หลายๆ สิ่งเริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วินาทีนั้น ลิเวอร์พูล ยิงตรงกรอบครั้งแรกในนาที 76 และเป็นประตูตีเสมอให้พวกเขากลับคืนสู่เกมจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 

ถ้าย้อนไปดูจังหวะนั้นต่อให้ โม ซาลาห์ จะยิงไม่เข้า แต่ก็มีสิทธิ์ที่ "หงส์แดง" จะได้ลูกจุดโทษเพราะตัวของ เคอร์ติส โจนส์ โดน โจเอล วอร์ด เข้าเสียบแบบล้มทั้งยืน

คริสตัล พาเลซ ต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนเมื่อผู้รักษาประตูมือ 1 อย่าง แซม จอห์นสโตน เจอพิษอาการบาดเจ็บเล่นงานไปอีกคนจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเอา เรมี่ แมทธิว ลงมาเฝ้าเสาแทนในช่วงท้ายๆ เกม แต่ก็ยังไม่ทันได้โชว์ช็อตเซฟเลยสักครั้งก็ดันมาโดน ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ส่องลูกทีเด็ดจนพุ่งไปปัดไม่ทันจนกลายเป็นประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาเอาชนะ 2-1

จะบอกว่านี่เป็นเกมที่โชคชะตาเข้าข้างทาง ลิเวอร์พูล อยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะถ้าดูจากรูปเกมแล้วทาง พาเลซ ก็ถือว่ารับมือได้ดี เกมรับที่คงเส้นคงวาของพวกเขาแทบจะทำให้ ลิเวอร์พูล แผลงฤทธิ์ไม่ออกเลยจริงๆ บางทีถ้าผู้เล่น 11 คนเท่ากันยันจบเกมมันอาจจะเป็น "ปราสาทเรือนแก้ว" ของ "ปู่รอย" ที่ได้ 3 คะแนนก็เป็นได้

[ อลิสซอน กลับมาทันเวลาพอดี ]

การคว้า 3 คะแนนสำคัญที่ เซลเฮิร์สท์ พาร์ค หนึ่งในคนที่ต้องได้รับคำชื่นชมมากๆ ก็คือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ทันเวลาพอดี เพราะบางทีครึ่งแรกอาจไม่ได้จบที่สกอร์ 0-0 ถ้า อลิสซอน ไม่โชว์ช็อตโคตรเซฟที่ป้องกันลูกเข้าชาร์ตจ่อๆ ในระยะเผาขนของ เจฟเฟอร์สัน เลอร์ม่า

เช่นเดียวกับช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีท้ายๆ ที่ พาเลซ ได้จังหวะเปิดบอลสวยๆ เพื่อลุ้นประตูตีเสมอ และก็เป็น โยคิม อันเดอร์เซ่น ได้โขกแบบเหน่งๆ แต่ก็ไปติดเซฟของ อลิสซอน อีกครั้งช่วยให้ ลิเวอร์พูล รอดตายแบบหวุดหวิด ลองคิดดูถ้าเกมนี้ไม่ใช่ อลิสซอน และเป็น เคลเลเฮอร์ บางทีจากสกอร์ 2-1 มันอาจจะเป็น 3-2 ก็เป็นได้

[ คนที่ 5 ซัด 200 ประตู ]

ประตูตีเสมอ 1-1 จาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยให้เจ้าตัวสร้างสถิติเป็นผู้เล่นคนที่ 5 บนหน้าประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล ที่ยิงได้แตะหลัก 200 ประตูต่อจาก เอียน รัช (346 ประตู), โรเจอร์ ฮันท์ (285 ประตู), กอร์ดอน ฮ็อดจ์สัน (241 ประตู) และ บิลลี่ ลิดเดลล์ (228 ประตู)

เท่านั้นยังไม่พอ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังกลายเป็นผู้เล่น ลิเวอร์พูล ที่มีส่วนร่วมกับประตูใน พรีเมีย์ลีก มากที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์สโมสรที่ 213 ประตู โดยแบ่งเป็นยิง 148 ประตู และกดไปอีก 65 แอสซิสต์

[ ทีมอึดตายยาก ]

อย่างที่เราทราบกันว่าในฤดูกาลนี้มีอยู่หลายๆ ครั้งที่ ลิเวอร์พูล ต้องเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่งไปก่อน แต่สุดท้ายก็กลับมาคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้เสมอ พวกเขาคือทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดเมื่อเป็นฝ่ายโดนนำไปก่อนถึง 18 คะแนนจาก 16 นัดใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้

ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ทะยานขึ้นไปจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ชั่วคราว แข่ง 16 นัด มี 37 คะแนนนำหน้า อาร์เซน่อล อยู่ 1 แต้ม ต้องมารอลุ้นกันว่าคืนนี้การยกพลไปเยือน แอสตัน วิลล่า พาร์ค จะจบลงแบบไหน ? ถ้าทีมของ อูไน เอเมรี่ ไม่ชนะก็จะเป็น "หงส์แดง" ที่ได้ครองจ่าฝูงไปอีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline