logo-heading
สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน เปี๊ยกบางใหญ่ มีโอกาสเป็นตัวแทนชาวขอบสนามไปใช้ชีวิตอยู่ใน เมือง ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ สัมผัสบรรยากาศการชมฟุตบอลติดขอบสนาม 3 เกมการแข่งขันในช่วงที่ไวรัส โควิด-19 กำลังระบาด ก่อนที่ท้ายที่สุดเกมฟุตบอลทั่วทั้งยุโรป รวมไปถึงทั่วโลกจะถูกเลื่อนออกไป วันนี้จึงนำประสบการณ์รวมทั้งสิ้น 10 วันที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ทริปนี้เป็นทริปที่แทบไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เพราะต้องบินไปในช่วงที่ทางสหราชอาณาจักร เริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อ โควิด-19 รวมไปถึงในประเทศไทยเองก็เริ่มมีการห้ามคนไทยบินไปประเทศที่เป็นพื้นที่เสี่ยง อย่างไรก็ตามอังกฤษเองยังไม่ได้รวมอยู่ในลิสต์ ณ เวลานั้น แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ต้องติดตามข่าวทุกวันก่อนบินลัดฟ้าไปอังกฤษ เพราะจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูงเรื่อย ๆ หลายรายตัดสินใจยกเลิกทริปดูบอล ยกเลิกเที่ยวบิน เพราะสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวล แต่สำหรับเปี๊ยกเองไม่สามารถยกเลิกแพลนได้ เนื่องจากอังกฤษยังไม่ถูกประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยง ไม่สามารถขอคืนเงินค่าตัวบินจากสายการบินได้ รวมถึงจัดการซื้อตั๋วชมเกมฟุตบอลไว้แล้ว ทุกอย่างต้องโกออนต่อไป เริ่มต้นด้วยการตกเครื่อง คืนวันที่ 5 มีนาคม เปี๊ยกเดินทางไปถึงสนามบินเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เป็นการเดินทางคนเดียวที่ยังไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ขอให้ทริปนี้เป็นการเดินทางที่ราบรื่น กลับมาสุขภาพแข็งแรงไม่ติด โควิด กลับบ้าน แต่ไม่วายต้องมาพบอุปสรรคตั้งแต่วันบินเลยทีเดียว ซึ่งเป็นช่วงต่อเครื่องทรานสิตที่ อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเดินทางมาโดยสายการบิน เอทิฮัด ถึง อาบูดาบี เวลา 00.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น ไฟลท์ต่อเครื่องเวลา 02.35 น. มาถึงเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ปล่อยให้ลงจากเครื่องให้นั่งอยู่กับที่ และมีการประกาศว่า ขอให้เวลาประมาณ 10-20 นาที จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาวัดอุณภูมิร่างกาย ผ่านไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่เพิ่งเดินมาถึงโซนที่เปี๊ยกนั่ง ค่อย ๆ นำเครื่องตรวจทีละคนจนเสร็จ แต่ก็ยังไม่ปล่อยให้ลงจากเครื่อง ก่อนมีการประกาศให้ผู้โดยสารที่จะพักใน อาบูดาบี ลงก่อน ตามมาด้วยคนที่ต้องต่อเครื่อง แน่นอนท้ายที่สุดเปี๊ยกตกเครื่อง เนื่องจากการป้องกันที่เข้มงวดของสนามบิน ทำให้การตรวจวัดอุณหภูมิกินเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง แต่สายการบินดูแลรับผิดชอบทุกอย่างด้วยการออกตั๋วให้ใหม่เป็นไฟลท์ถัดไปในรอบเช้าของ วันที่ 6 ซึ่งเหลือเวลาจากตอนนั้นประมาณ 6 ชั่วโมง แน่นอนว่าส่วนตัวหัวเสียมากเนื่องจากการตกเครื่องรอบนี้ เราต้องซื้อตั๋วรถไฟใหม่ทั้งหมด อีกทั้งต้องอยู่ในสนามบินแห่งนี้เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง แทนที่เราจะได้ถึงอังกฤษตอนเช้ากลับเป็นตอนบ่ายแทน เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ถึงอังกฤษโดยสวัสดิภาพ วันที่ 6 มีนาคม ในที่สุดหลังจากอุปสรรคในการตกเครื่องผ่านพ้นไป เปี๊ยกก็เดินทางมาถึงอังกฤษในช่วงบ่ายของวันที่ 6 มีนาคม ตามเวลาประเทศอังกฤษ ผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองโดยที่ไม่ถามอะไรมาก และด้วยความโชคดีเจอพี่คนไทยที่ทำทัวร์รู้จักกัน เขาเลยชวนให้นั่งรถบัสไปกับกรุ๊ปทัวร์เข้าเมือง ลิเวอร์พูล ไปด้วยกันเลยกลายเป็นโชคดีไป ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นรถไฟ และมาถึง ลิเวอร์พูล โดยสวัสดิภาพ เมื่อมาถึง เปี๊ยกเองก็ขอตัวแยกย้ายจากพี่กลุ่มทัวร์ เดินทางไปที่พักของตัวเองที่ทำการจองไว้ ซึ่งเปี๊ยกจองเป็นที่พักในเมืองรอบด้านหาของกินได้ง่ายสะดวก ราคาไม่แพงมาก ถึงที่พักก็จัดการเช็คอินเก็บของก่อนออกไปเดินลัลลาชมเมือง และแน่นอนที่แรกที่ไปคือไปเข้าสโตร์ ลิเวอร์พูล สาขา ลิเวอร์พูล วัน ไปสำรวจว่ามีสินค้าอะไรให้ซื้อบ้าง ก่อนที่จะเดินไปสาขา วิลเลียมสัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ทั้งนี้ในเมือง ลิเวอร์พูล มีสโตร์อยู่ 3 สาขา ได้แก่ สาขาศูนย์การค้าลิเวอร์พูล วัน, สาขาวิลเลียมสัน และ สาขาสนามแอนฟิลด์ หากเป็นแฟน ลิเวอร์พูล คุณจะเข้าใจว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์ของแท้ ทุกอย่างมันน่าซื้อไปหมด ที่น่าสังเกตคือคนที่นี่ยังไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยแต่อย่างใด รวมถึงยังไม่เจอการบูลลี่ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ แมตช์แรกของทริป วันที่ 7 มีนาคม เป็นการดูบอลเกมแรกของทริปนี้ ซึ่งเปี๊ยกกดซื้อตั๋ว Hospitality กับสโมสรไว้ โดยที่นั่งอยู่ติดขอบสนามและที่พิเศษคือได้เข้าเลานจ์รับประทานอาหาร พบกับตำนานนักเตะแบบเอ็กซ์คลูซีฟก่อน บรรยากาศก่อนเกมก็เป็นไปอย่างคึกคัก คนที่นี่ยังไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย แต่ก็มีการตื่นตัวเรื่องของการป้องกัน โควิด อยู่บ้าง ที่สนามจะมีการติดแอลกอฮอล์ล้างมือไว้หลายจุด เปี๊ยกเองพกเจลล้างมือพร้อมกระดาษทิชชู่เปียก และมีที่ฉีดชำระพกพาเพื่อความสะดวกในการเข้าห้องน้ำติดตัวมาจากไทย เพราะหากใครทราบดีทางประเทศในยุโรปไม่มีสายชำระเหมือนอย่างบ้านเรา ท้ายที่สุดฟุตบอลเกมนี้จบแบบแฮปปี้ เนื่องจาก ลิเวอร์พูล พลิกมาชนะ บอร์นมัธ 2-1 แหม่ตอนโดนนำไปก่อนนี่เงียบกริบกันทั้งสนามเลยทีเดียว นี่แทบจะนั่งกัดเล็บ เกมเครียดมาก ฮ่า ๆ ส่วนที่นั่งก็จะติดขอบสนามประมาณนี้ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ แมนเชสเตอร์ สีแดง วันที่ 8 มีนาคม กลายเป็นเกมที่ 2 ของทริปที่ไม่ได้แพลนไว้ล่วงหน้า พอดีพบกับพี่ที่รู้จักที่ ลิเวอร์พูล เขาชวนไปดูเกมนัดนี้ โดยจะหาตั๋วให้ ไอ้เราก็แบบว่ามาแล้วเนอะ ยังไม่เคยเข้า โอลด์ แทรฟฟอร์ด เลย เคยมาแต่ก็อยู่แค่ข้างหน้าสนาม นี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้สัมผัสโรงละครแห่งความฝัน แถมเป็นบิ๊กแมตช์ ซึ่งการเดินทางก็อาศัยติดรถบัสของคณะทัวร์เขาไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคณะนี้เป็นแฟน ลิเวอร์พูล กันหมด แต่อยากไปดูบิ๊กแมตช์กัน การเตรียมตัวก่อนไปก็ต้องแต่งตัวแบบธรรมดา ไม่ใส่เสื้อฟุตบอลแสดงตัวว่าเชียร์ ลิเวอร์พูล เพราะอาจจะโดนการ์ดตรวจก่อนเข้าและไล่ให้ไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยน ไม่ได้พูดเล่นมีคนเคยโดนไล่ไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยนจริง ๆ เกมนี้เปี๊ยกโชคดีอีกได้ดูบอลติดขอบสนามแถมเป็นมุมทางเดินออกจากอุโมงค์ของนักเตะเลย พอดีตอนแรกซื้อตั๋วไว้แต่ได้นั่งแถวบนมาเจอพี่ บอบู๋ และพี่คนไทยอีกคนหน้าสนาม เขาบอกว่าตั๋วเขาเหลือที่นั่งเขามุมดีกว่าเลยให้เปี๊ยกเข้ามาดู โชคดีไปเลย ยิ่งเป็นแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่คงฟินน่าดู สถานการณ์ในวันนี้ก็เหมือนเดิม ฝรั่งก็ยังไม่ปิดปากกัน แถมในระหว่างเชียร์ ก็เชียร์กันแบบอินจัดร้องเพลงเชียร์กันน้ำลายกระจายเลยทีเดียว แน่นอนว่าถ้ามีใครเป็น โควิด สักคน ก็ติดกันหมดนี่แหละ สุดท้ายเกมจบด้วยชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไอ้เราเองก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูกเหมือนกันว่าต้องเชียร์ทีมไหน แต่การได้มาสัมผัส โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ไม่เลวทีเดียว ค่ำคืนนี้ แมนเชสเตอร์ สีแดง และลการแข่งขันส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ขยับเข้าใกล้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปอีกหนึ่งก้าว เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ทุกอย่างดูปกติ แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดจะดูแย่ลงเรื่อย ๆ มีการประกาศพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่คนที่นี่ยังใช้ชีวิตกันปกติ เข้าผับเข้าบาร์กันปกติ ซึ่งเปี๊ยกเองก็ได้มีโอกาสไปชมฟุตบอลในผับในคืนที่ ไลป์ซิก พบ สเปอร์ส ทุกอย่างที่นี่ปกติ คนแน่นเต็มร้าน และไม่ได้มีการสวมหน้ากากอนามัย เปี๊ยกเองก็เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แต่ก็พกเจลล้างมือติดตัวตลอดเวลา ฟุตบอลจบก็กลับที่พักอาบน้ำล้างตัว พ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อที่เอาติดมาด้วยจากเมืองไทยทั่วห้องพร้อมกับบนเสื้อกันหนาวรองเท้า หวังว่ามันจะช่วยได้ ก่อนเข้านอนตามปกติ วิถีติ่งรอนักเตะ วันที่ 11 มีนาคม ก่อนเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นักเตะจะเดินทางมายังโรงแรมที่พักประจำในเมืองอย่าง โฮปสตรีทเวลาเที่ยงวันของวันแข่ง เปี๊ยกมีโอกาสได้ไปรอรับนักเตะหน้าโรงแรม ด้วยสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 ทำให้ ลิเวอร์พูล มีการประกาศห้ามนักเตะ รวมถึงโค้ช แจกลายเซ็นและถ่ายรูปกับแฟนบอล เพื่อป้องกันและปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งแฟนบอลตรงนั้นต่างเข้าใจสถานการณ์นี้ดี แค่ไปยืนรอถ่ายรูปโบกไม้โบกมือให้กำลังใจนักเตะก่อนเกมนัดสำคัญก็สร้างความสุขได้ไม่น้อยทีเดียว ขณะเดียวกันทางฝั่ง แอตเลตฺิโก มาดริด เอง ก็มีนโยบายนี้เช่นเดียวกันซึ่งพวกเขาเดินทางมาถึงอังกฤษตั้งแต่คืนก่อนแข่งขัน และมีแฟนบอลจำนวนหนึ่งมารอหน้าโรงแรมให้กำลังใจด้วยเช่นกัน https://www.facebook.com/Piakbangyai.Mild/videos/220916782434790/ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ค่ำคืนยุโรป ค่ำคืนยุโรป ซึ่ง ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ แอตเลติโก มาดริด แน่นอนเป็นเกมที่ค่อนข้างคึกคักปนน่าวิตกกังวล เนื่องจากมีรายงานว่า แฟนบอล ตราหมี แอตเลติโก มาดริด เดินทางมาชมเกมเป็นจำนวนมาก และผ่านเข้าประเทศอังกฤษมาโดยไม่ได้รับการตรวจร่างกายป้องกันแต่อย่างใด ซึ่งเมือง มาดริด ถือเป็นอีกเมืองที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในประเทศสเปน อย่างไรก็ตามแฟนบอลก็ยังไม่มีการปิดปาก และยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเปี๊ยกเองก็มีโอกาสได้เดินถ่ายคลิปบรรยากาศรอบ ๆ สนาม และไปพบกลุ่มแฟนบอลตราหมีกลุ่มใหญ่ แต่ก็คงต้องอยู่ห่าง ๆ ชมบรรยากาศอย่างห่วง ๆ ป้องกันตัวเองไว้ก่อน จากนั้นก็เข้าสนาม ซึ่งการเข้าสนามแอนฟิลด์ จะมีการแบ่งส่วนฝั่งทีมเยือน และแฟนบอล ลิเวอร์พูล อย่างชัดเจน มีเจ้าหน้าที่คอยกัน เกมนี้เปี๊ยกอยู่สูงหน่อยโซน อัพเปอร์ เมนสแตน ตอน ลิเวอร์พูล นำ 2-0 บรรยากาศคึกคักมาก แต่สุดท้ายเป็นค่ำคืนฝันร้ายของ ลิเวอร์พูล เพราะแพ้คาบ้านตกรอบยุโรปในที่สุด แฟนบอลต่างเดินคอตกกลับบ้านไร้การพูดคุย ทั้งเมืองเงียบกริบ แยกย้ายกับกลับที่พักหลังจบเกมไร้การฉลอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยอดเยี่ยมและเป็นมนต์เสน่ห์ของสนามแห่งนี้คือแฟนบอลยังคงช่วยกันร้องเพลง You'll never walk alone. แม้ผลงานจะย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีการปรบมือชื่นชมแฟนบอล แอตเลติโก มาดริด ที่เดินทางมาเชียร์ ซึ่งพวกเขายังคงถูกกักตัวอยู่ในสนามให้ออกทีหลังแฟนบอลเจ้าบ้าน ถือเป็นค่ำคืนอันน่าจดจำของทีมและแฟนบอล ตราหมี ไม่น้อยทีเดียว เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ทัวร์สนามและแผนการปิดสโตร์ หลังจากค่ำคืนยุโรปที่ ลิเวอร์พูล ตกรอบ 2 วันถัดมา พรีเมียร์ลีก ก็มีการประกาศเลื่อนการแข่งขันออกไป ทำให้เมืองดูเงียบเหงาลง วันที่ 14 มีนาคม เปี๊ยกมีโอกาสได้มาทัวร์สนามแอนฟิลด์ ทำการจองล่วงหน้าในเว็บไซต์ ซึ่งยังคงเปิดให้เข้าชมปกติ เปี๊ยกจองแบบได้พบตำนานนักเตะ นั่นคือ ฟิล นีล ตำนาน ลิเวอร์พูล ยุค 80 โดยเจ้าหน้าที่ก็มีการประกาศให้สามารถถ่ายรูปกับ ฟิล นีล ได้ แต่ขอให้ยืนห่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ภาพที่ได้ก็จะออกมาแบบว่าไม่รู้ใครกลัวใครเลย ในวันนี้ยังคงมีแฟนบอลเข้ามาทัวร์สนามกันอย่างปกติ แต่บางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ได้สอบถามพูดคุยกับชาวต่างชาติบางคนที่มาจากต่างประเทศไม่ใช่คนอังกฤษ ก็แพลนว่าจะมาดูแมตช์พบ เอฟเวอร์ตัน แต่การแข่งขันถูกเลื่อนไป เสียใจอยู่บ้างแต่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดดี ขณะที่ สโตร์ ลิเวอร์พูล เองก็ได้รับผลกระทบและเป็นการป้องกันไว้ก่อน ทุกสาขามีการประกาศปิดตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม จนถึง 4 เมษายน ยกเว้นออนไลน์ยังเปิดให้บริการตามปกติ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ ชีวิตในเมือง ลิเวอร์พูล เปี๊ยกก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ใน ลิเวอร์พูล ต่อจนกลับบ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวไหน เนื่องจากป้องกันตัวเองด้วย ยกเลิกแผนเดินทางไปสก๊อตแลนด์ หรือลอนดอน ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง ลิเวอร์พูล คนที่นี่ยังออกมาใช้ชีวิต เดินช็อปปิ้งซื้อของกันตามปกติ ซึ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณหมอที่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ ลิเวอร์พูล ถามถึงความกระตือรือร้นของคนที่นี่ที่มีต่อ โควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการใส่หน้ากากอนามัย ได้ใจความว่า คนที่นีแม้เขาจะไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน แต่เขาจะได้รับข่าวสารตลอดว่าหากเกิดอาการป่วย ให้โทรหาสาธารณะสุขตามเลขหมายที่ทางรัฐบาลได้มีการประกาศไว้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องทำการกักตัวเองในที่พัก 14 วัน หากไม่ดีขึ้นจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปตรวจดูอาการ ซึ่งการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ เขาจะค่อนข้างมีความรับผิดชอบตรงที่หากป่วยจะไม่ไปทำงาน และที่ทำงานจะสั่งให้หยุดไล่กลับบ้านทันที อย่างไรก็ตามด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น และฝนตกทำให้ยากที่จยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ คนที่นี่ยังไม่มีการกักตุนของ ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขนาดไม่ใส่ใจกับข้อมูลหรือไม่ป้องกันตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ได้จากจากบอกเล่า ซึ่งสรุปได้ว่า คนอังกฤษก็ตื่นตัวกับสถานการณ์การระบาดของ โควิด แต่ไม่ได้ตื่นตูมนั่นเอง เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่ กลับบ้านเรา มาม่า รออยู่ ในที่สุดก็ถึงวันกลับ เก็บของโบกมือลา ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่า 10 วันที่อยู่ในเมือง ลิเวอร์พูล ถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่า ซึ่งเป็นการเดินทางคนเดียวที่ต้องพบกับอุปสรรคตั้งแต่วันบิน มาจนถึงการใช้ชีวิตในเมืองที่ไม่ใช่บ้าน จริง ๆ ก็กลัวกับการ บูลลี่ อยู่บ้าง เพราะมีข่าวชาวเอเชียถูก บูลลี่ เยอะมาก พี่คนไทยที่ไปดูบอลและบังเอิญไปเจอกันที่นู่นเขาบอกว่าเขาโดนแอบด่าลับหลังในช่วงวันแรก แต่โชคดีที่ตัวเองไม่เจอเลย เจอแต่ฝรั่งที่พร้อมช่วยเหลือ ไปขอให้ถ่ายรูปให้หน่อยก็ช่วยถ่ายแบบเต็มใจ หรือแม้กระทั่งตอนไปยืนรอรถเมล์ผิดป้าย กำลังจะไปแอนฟิลด์ มีชายสูงอายุที่เหมือนรู้ว่าเรากำลังไปแอนฟิลด์เข้ามาบอกว่าเรายืนผิดป้าย เป็นทริปที่แม้พบอุปสรรคแต่ก็ยังมีเรื่องราวดีดีที่น่าจดจำในทริปนี้อยู่ไม่น้อย และแน่นอนแทบจะเป็นกลุ่มแฟนบอลคนไทยกลุ่มสุดท้ายที่ได้ไปดูบอลเลยก็ว่าได้เพราะทุกอย่างประกาศเลื่อนหมดแล้ว และยังไม่รู้เหมือนกันว่าต้นเมษายนจะกับมาแข่งขันกันได้หรือไม่ ได้แต่ภาวนาให้สถานการณ์ดีขึ้นในเร็ววัน ตอนนี้เปี๊ยกอยู่ในช่วงรับผิดชอบต่อสังคมกักตัววันที่ 2 ทำงานอยู่บ้านหลังกลับมา ยังไม่มีอาการไข้ เจ็บคอ หรือ ไอ มีน้ำมูกนิดหน่อยเป็นตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษเพราะตากฝน ส่วนตัวยังไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองจะติด โควิด หรือไม่ แต่เชื่อว่าสุดท้ายมนุษย์จะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ ในอดีตมนุษย์เองก็ผ่านโรคร้ายต่าง ๆ มาทั้งที่การแพทย์ไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก ครั้งนี้ก็ต้องผ่านไปได้ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่กำลังต่อสู้หาทางป้องกันไวรัสชนิดนี้ ส่วนเราเองก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป แต่อย่าวิตกจริตกับมัน แค่ไม่ประมาทเท่านั้นพอ ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันทุกคน และนี่คือเรื่องเล่าจากการใช้ชีวิตอยู่เมือง ลิเวอร์พูล 10 วัน ที่เอามาบอกต่อเล่าสู่กันฟัง ช่วงนี้อาจจะเหงา ๆ หน่อยเพราะไม่มีบอลเตะ แต่ขอบสนามยังคงมีเรื่องดีดีให้ติดตามเสมอเหมือนเช่นเคย วันนี้เปี๊ยกต้องขอตัวลาไปก่อน โอกาสหน้ามีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะมาบอกเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง อวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านปลอดภัยไร้โควิด สวัสดีค่ะ เรื่องเล่าจาก ลิเวอร์พูล ยุคโควิดป่วนเมือง โดย เปี๊ยกบางใหญ่

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

logoline