logo-heading

ฤดูกาล 2017-18 เรอัล มาดริด ถูกวิจารณ์ในแง่ลบมากมายไล่ตั้งแต่การเสริมทัพ, การขายแข้งอะไหล่ชั้นดีออกไปจนส่งผลถึงฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำ และคว้าความสำเร็จใดๆ ไม่ได้เลย เพราะทั้ง โกปา เดล เรย์ ก็ตกรอบไปแล้ว ส่วนในเวที ลา ลีกา ยังไงก็ดูแล้วเสร็จ บาร์เซโลน่า แน่นอน เพราะขอชนะอีกแค่นัดเดียวเท่านั้นก็จะได้เถลิงบัลลังก์แชมป์ทันที

อย่างไรก็ตามข้อครหาเหล่านั้นจะหมดไปถ้าพลพรรค "ราชันชุดขาว" เกิดก้าวไปถึงการคว้าความสำเร็จถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 3 ติดต่อกัน การบุกไปทุบ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ในรอบรองชนะเลิศ นัดแรกนั้นมันทำให้ขาข้างหนึ่งของพวกเขาก้าวไปเหยียบที่ กรุงเคียฟ ประเทศ ยูเครน แล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจะเป็นแชมป์ปีที่ 3 ติดต่อกันไม่ได้ล่ะ ??? 1.ชายที่ชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่มีคำใดที่จะมาสาธยายถึงนักเตะคนนี้จริงๆ เพราะความกระหายและหิวโหยในชัยชนะของเขานั้นมันนำมาซึ่งการทลายสถิติมากมายโดยที่เด่นที่สุดก็คือการยิงประตูได้แบบถล่มทลาย ถึงแม้ฤดูกาลนี้เราอาจจะเห็นเขาฟอร์มตกลงไปอย่างน่าใจหายจนใครต่อใครคิดกันว่ามันคงถึงคราวแล้วล่ะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะหมดไฟ เพราะเมื่อเขาผลงานไม่ดี เรอัล มาดริด ก็ห่วยตามลงไปด้วย อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เข้าสู่ศักราชปี 2018 เจ้าของโค้ดเนม CR7 ก็กลับคืนสู่โหมดเครื่องจักรสังหารอีกครั้ง และต่อให้เกมๆ นั้นเขาจะยิงประตูไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสร้างความแตกต่างได้มากมาย และนี่แหละคือกุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่จะพา เรอัล มาดริด ก้าวไปถึงฝัน 2.ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้วยนี้ เรอัล มาดริด ถนัดนัก เจ้าของแชมป์ยุโรปมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกลูกหนังที่ 12 สมัย ในฤดูกาลนี้เราจะสังเกตเห็นได้บ่อยมากว่า เรอัล มาดริด มีฟอร์มที่ห่วยแตกเกินห้ามใจจริงๆ แต่ถึงกระนั้นยามใดก็ตามที่พวกเขามีคิวได้ลงเล่นในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มันจะแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเกมไหนๆ ก็ตามมันจะเหมือนมีพลังแฝงออกมาและเอาตัวรอดในเกมๆ นั้นได้เสมอ จนตอนนี้ก็เดินทางมาไกลจนถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว แถมยังบุกไปตบ บาเยิร์น มิวนิค ได้ก่อนด้วยในเกมแรก 2-1 ถึงแม้รูปเกมจะสู้ไม่ได้ก็ตาม 3.แท็คติกที่เดาได้ยากของ ซีดาน เก้าอี้ของ ซีเนดีน ซีดาน กลับมาขาแข็งอีกครั้งจากผลงานอันยอดเยี่ยมในช่วงหลัง พร้อมกับแท็คติกการวางแผนการเล่นที่เดาทางได้ยากปั่นประสาทศัตรู เราจะเห็นได้ชัดว่าพักหลัง เรอัล มาดริด มีการเปลี่ยนระบบการเล่นไปเรื่อยจาก 4-3-3 มาเป็น 4-4-2 บ้าง เป็น 4-3-1-2 บ้าง 4-2-3-1 บ้าง ตลอดจนเกมล่าสุดที่สู้กับ บาเยิร์น นั้น ซีดาน เลือกใช้ 4-5-1 ซึ่งเป็นระบบที่ถือว่าแปลกตาแปลกใจสุดๆ เพราะใครจะไปเชื่อว่า เรอัล มาดริด จะมาเน้นรับจ๋า ไม่เน้นเปิดแลกเหมือนตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยห้อย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไว้ข้างหน้าคนเดียว และมันก็ได้ผลกับการบุกไปชนะ 2-1 ถึงแม้รูปเกมจะเป็นรองทุกกระบวนท่าก็ตาม 4.ไม่ยอมจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า ลูกทีมของ ซีเนดีน ซีดาน หมดหวังแบบ 100 เปอร์เซนต์ไปนานแล้วกับการลุ้นแชมป์ ลา ลีกา เพราะมีแต้มตามหลังคู่อริตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า อยู่มากเกินกว่า 10 แต้ม โดย บาร์ซ่า ขอแค่ชนะเกมถัดไปที่จะบุกไปเยือน เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า เท่านั้นก็จะเป็นแชมป์ทันที ส่วนรายการบอลถ้วยในประเทศอย่าง โกปา เดล เรย์ เรอัล มาดริด ก็กระเด็นปลิวตกรอบไปตั้งแต่รอบ 8 ทีมด้วยน้ำมือของทีมรองบ่อนอย่าง เลกาเนส อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด มักเป็นทีมที่ไม่ค่อยจบฤดูกาลแบบมือเปล่าสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะยังไงส่วนใหญ่มันต้องมีสักโทรฟี่แหละที่ติดไม้ติดมือมาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม และถ้าหากมองดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ความหวังเดียวของพวกเขาที่เหลืออยู่ก็คือถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใบนี้นี่แหละ ดังนั้นเมื่อมันดำเนินมาถึงรอบตัดเชือกแล้วอะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ 5.สถิติกับ บาเยิร์น และ สถิตินัดชิงของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงแม้ เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค จะเป็นทีมยักษ์ใหญ่ทั้งคู่ และการเจอกันส่วนใหญ่หากวัดสถิติที่พบกันถือว่าสูสีมาก โดยเจอกันมา 25 ครั้ง เป็น เรอัล มาดริด ชนะ 12 บาเยิร์น ชนะ 11 และเสมอ 2 นัด อย่างไรก็ตามในช่วงหลังการเจอกัน 7 ครั้งหลังสุด เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเอาชนะได้ถึง 6 ครั้งด้วยกัน เมื่อกุมความได้เปรียบเหนือ บาเยิร์น มาก่อนจากการบุกไปชนะ 2-1 ในเกมแรกของรอบรองชนะเลิศ มันก็มีโอกาสไม่น้อยที่ เรอัล มาดริด จะได้เข้าชิงดำอีก 1 ปี และเมื่อเชื่อมโยงกับอีกคู่หนึ่งมันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล ที่จะขึ้นมาท้าชิง ซึ่งหลายๆ คนต่างมั่นใจว่า ถ้าเกิด 2 ทีมนี้เป็นคู่ชิงในฝันจริงทางฝั่ง ลิเวอร์พูล จะเป็นแชมป์แน่ เพราะโมเมนตั้มกำลังมา มีแรงใจที่ดี อย่างไรก็ตามมันก็มีหลายๆ ครั้งที่พวกเขาท่าดีทีเหลว เพราะอย่าลืมนะว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นโค้ชที่เหมือนมีกรรมเวรตามติด และมักจะอกหักบ่อยครั้งในเกมรอบชิงชนะเลิศ

-HaMuDosSantos-

logoline