logo-heading

ท่ามกลางควันหลง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายๆคนพูดถึงความพังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พ่ายแพ้ต่อ คริสตัล พาเลซ รวมถึง ลิเวอร์พูล ที่เก็บได้เพียง 1 แต้ม จากการเสมอ ไบรท์ตัน

หรือ การเซฟโซลชา หลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนระบบใช้เซ็นเตอร์ 3 คน บุกไปตบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3-0 แต่ 1 ทีม ที่อาจจะหลุดโฟกัส และ ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นก็คือ เชลซี ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ สิงห์บลูส์ อาจจะว่าพวกเขาเพียบพร้อม ขุมกำลังแข็งแกร่ง และ มีโอกาสอันดีที่จะกลับมาทวงบัลลังค์แชมป์ แต่ใครจะรู้ล่ะว่า จริงๆแล้ว เชลซี ต้องเจอกับปัญหาที่หนักหนาสากรรจ์ เช่นกัน เพราะ โธมัส ทูเคิ่ล ก็ขาดผู้เล่นคนสำคัญหลายคนเหมือนๆทีมอื่น ไม่ว่าจะเป็น โรเมลู ลูกากู, ติโม แวร์เนอร์ รวมถึง มาเตโอ โควาซิช ที่ได้รับบาดเจ็บ และ เมสัน เมาท์ ก็ดันมาป่วยก่อนลงแข่งขันอีก ทำให้ เชลซี ต้องขาดผู้เล่นกำลังหลักของทีมถึง 4 คน ก่อนลงเตะกับ นิวคาสเซิล

การขาดผู้เล่นตัวสำคัญแบบพร้อมหน้า ย่อมส่งผลต่อการเล่นของทีมแน่นอนครับ ซึ่ง เชลซี ก็เล่นได้จืดสนิท หาช่องเจาะเข้าไปในกรอบเขตโทษคู่แข่งแทบจะไม่ได้เลยตลอดช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลัง เชลซี จะโชว์ฟอร์มหรูยิงรัว 3 ประตู และ เก็บ 3 แต้มสำคัญกลับบ้านได้สำเร็จ แล้วอะไรคือเหตุผลที่ เชลซี ฟอร์มยังโหดเหมือนเดิม ถึงแม้จะขาดผู้เล่นตัวสำคัญ มาวิเคราะห์ไปพร้อมๆกันเลยครับ

- ทุกตำแหน่งทำประตูได้หมด

ต้องบอกว่าจุดเด่น เชลซี คือ ผู้เล่นทุกตำแหน่งขึ้นมาทำประตูได้หมด เหลือแค่ผู้รักษาประตู เท่านั้น พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้หวังพึ่งแค่กองหน้า หรือ ผู้เล่นจากเกมรุก แต่ทุกคนสามารถทำประตูได้ ซึ่งนักเตะ สิงห์บลูส์ ยิงไปแล้วถึง 17 คน รวมทุกรายการในซีซั่นนี้  ต้องบอกว่า เชลซี มีวิงแบ็กซ้าย-ขวา ที่จบสกอร์ราวกับใบมีดโกน นึกว่าเป็นกองหน้าซะเอง ไม่ว่าจะเป็น เบน ชิลเวลล์, มาร์กอส อลอนโซ่, หรือ รีซ เจมส์ ซึ่ง 3 คนนี้ ยิงประตูได้รวมกันถึง 8 ลูกเข้าไปแล้ว มากกว่ากองหน้าอย่าง โรเมลู ลูกากู และ ติโม แวร์เนอร์ ที่เพิ่งยิงรวมกันได้แค่ 6 ประตูเท่านั้น  ซึ่งเกมกับ นิวคาสเซิล วิงแบ็กทั้งสองฝั่งของ เชลซี แทบจะไม่มีพื้นที่ได้เติมเกมเลย รูปเกมก็ตื้อๆ ตันๆ ตลอดช่วงครึ่งแรก เพราะ ผู้เล่นสาลิกาดง ลงมารับลึกมากๆ ยากที่เจาะเข้าไป ทำให้เกมยังเสมอกันที่ 0-0 แต่จะเห็นเลยว่าครึ่งหลัง เชลซี ได้เปลี่ยนวิธีการเล่นให้หลากหลายขึ้น ทำให้เริ่มมีพื้นที่เข้าทำมากกว่าเดิม เมื่อมีพื้นที่ว่าง วิงแบ็ก เชลซี จะมีประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด และ รีซ เจมส์ ก็ทำได้ถึง 2 ประตู เปลี่ยนจากรูปเกมที่อึดอัดช่วยให้ สิงห์บลูส์ เล่นได้ง่ายขึ้นเยอะ ก่อนเกมนี้จะจบลงที่ 3-0 

เท่ากับว่าในตำแหน่งวิงแบ็กของ เชลซี สามารถขึ้นมาทำประตูได้เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ใน พรีเมียร์ ลีก

- การแก้เกมของ โธมัส ทูเคิ่ล

หลายครั้งที่นักเตะ เชลซี เล่นไม่ออก โชว์ฟอร์มไม่ดี เล่นติดๆขัดๆ หรือ คู่แข่งวางแผนมารับมือได้ดี และ ทำให้รูปเกมดูอึดอัดจืดจางลงไป ซึ่งซีซั่นนี้เราได้เห็นการแก้เกมของ โธมัส ทูเคิ่ล มาแล้วอยู่หลายครั้งหลายครา เหมือนเป็นสูตรที่คอยช่วยให้ เชลซี ได้ 3 แต้มอยู่เสมอ   โดยเกมกับ นิวคาสเซิล เป็นอีกครั้งที่สูตรนี้กดติด เพราะ ทูเคิ่ล ได้แก้เกม โดย เปลี่ยนตัว รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงสนามมาในนาที 64 ก่อนที่ เชลซี จะยิงประตูออกนำ นิวคาสเซิ่ล 1-0 ในนาทีที่ 65 เรียกได้ว่าเปลี่ยนลงมาปุ๊บ ทีมสามารถยิงประตูได้ทันที  ซึ่งประตูแรกได้เปลี่ยนรูปเกมไปอย่างแท้จริง เชลซี เล่นง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก และ นักเตะที่ถูกเปลี่ยนลงมาอย่าง ลอฟตัส-ชีค กับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็มีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูที่ 2 และ ประตูที่ 3 ด้วยเช่นกัน 

- ผู้เล่นสามารถทดแทนตำแหน่งกันได้ 

การขาด เมสัน เมาท์ , มาเตโอ โควาซิส, โรเมลู ลูกากู และ ติโม แวร์เนอร์ พร้อมกันถึง 4 คน เป็นเรื่องที่โชคร้ายของ เชลซี มากๆ และ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแน่นอน  แต่ผู้เล่นคนอื่นๆ อย่าง ฮาคิม ซีเยค คัลลัม-ฮัดสัน โอดอย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ต่างก็พร้อมทดแทนนักเตะที่ขาดหายไป ซึ่งเกมนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ระบบทีมของ เชลซี ตอนนี้แทบไม่มีจุดอ่อนเลย และ ทุกคนสามารถลงไปสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้พอสมควร ไหนจะมี รูเบน ลอฟตัส-ชีค กับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่เป็นผู้เล่นสำรองที่นั่งรอโอกาสเพื่อลงมาเปลี่ยนแปลงการเล่นอีก ดูเหมือนว่า เชลซี จะมีออปชั่นให้เลือกใช้งานครบทุกตำแหน่ง แต่เมื่อได้รับโอกาสทุกคนจะต้องดึงประสิทธิภาพของตัวเองออกมาให้ได้มากกว่านี้ ขนาด มาร์กอส อลอนโซ่ ที่เคยฟอร์มดีจัดๆ ยิงประตูมากกว่ากองหน้าบางคน แต่พอเปลี่ยนมาใช้ เบน ชิลเวลล์ ผลงานก็ไม่ได้แตกต่าง เผลอๆผลงานจะประทับใจ โธมัส ทูเคิ่ล กว่าด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่กำลับมายึดตัวจริง จริงอยู่ครับที่รูปเกมความน่ากลัวมันลดหายลงไปบ้างพอสมควร เมื่อขาดตัวหลัก ไม่มีความหวือหวา แต่หากเป้าหมายคือการคว้า 3 แต้ม นั่นเท่ากับว่า เชลซี ไม่มีอะไรเสียหายเลย แถมยังรั้งตำแหน่งจ่าฝูงอีกด้วย

- เกมรับเหนียวแน่น

ฤดูกาลนี้ เชลซี เลือกใช้ ติอาโก้ ซิลวา อันเดรส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เป็นตัวหลักแผงหลังเป็นส่วนใหญ่ และ อาจมีสลับหมุนเวียน เซซาร์ อัซปลิกวยต้า มายืนบ้าง เรียกได้ว่า ลงตัวสุดๆกับแนวรับชุดนี้ที่ช่วยกันเล่น จน เชลซี เป็นทีมที่เสียประตูยากมากๆ นอกจากนี้ยังมี เทรโวห์ ชาโลบาห์ ดาวรุ่งอนาคตไกลที่ถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ จากผลงานที่ไปเตะตา โธมัส ทูเคิล ในช่วงปรีซีซั่นตลอดจนนัดเปิดฤดูกาล พรีเมียร์ลีก ทำให้ เชลซี เลือกที่จะเก็บนักเตะไว้ใช้งานเอง ไม่ปล่อยยืม ซึ่งเมื่อไหร่ที่ได้รับโอกาส ชาโลบาห์ ก็ตอบแทนความไว้ใจยามที่ลงสนามได้เสมอ ตอนนี้คงต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากรุ่นพี่ในทีมให้มากที่สุด กองหลังว่าเด่นแล้ว แต่คนที่เด่นไม่แพ้กัน ก็คือ เอดูอาร์ เมนดี้ หลายต่อหลายครั้งที่นายด่านคนนี้เซฟลูกสำคัญๆ ช่วยให้ เชลซี มีแต้มกลับออกไปแม้วันที่เล่นไม่ดี โดยเฉพาะแมตช์ชนะ เบรนท์ฟอร์ด 1-0 นึกว่ากำลังนั่งดูหนัง คัมภีร์หยุดกระสุน ไม่ว่าจะเข้าทำรูปแบบไหน เขาสามารถเซฟได้หมด แต่ไม่กี่วันมานี้มีดราม่าเกิดขึ้น ประเด็นที่ พอล สโคลส์ ออกมาพูดว่า เชลซี มีเกมรับที่อ่อนสุดในบรรดา ท็อปโฟร์พรีเมียร์ลีก และ มีแค่ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ที่เล่นดี ส่วนที่เหลือจากนั้น ติอาโก้ ซิลวา ที่อายุ 37 ปี คงเล่นเต็ม 90 นาทีไม่ได้ทุกเกม อันเดรส คริสเตนเซ่น ก็ยังเป็นนักเตะอายุน้อยที่ขาดประสบการณ์ สำหรับ สโคลส์ มองว่าเกมรับของ เชลซี ยังไม่ดีพอ มีแค่แผงมิดฟิลด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งถ้ามองดูจากสถิติ เชลซี เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดฤดูกาลนี้ โดยเสียไป แค่ 3 ลูกเท่านั้น และ เกิดจากจุดโทษถึง 2 ลูกด้วยกัน หนำซ้ำยังเก็บคลีนชีทได้ถึง 7 นัด จาก 10 เกม ใน พรีเมียร์ ลีก สถิติชัดแบบนี้ยังอ่อนสุดอยู่ไหมนะ ? ต้องยอมรับว่าระบบทีมที่ โธมัส ทูเคิ่ล สร้างขึ้นมามันค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ ตอนนี้ เชลซี คือหนึ่งในตัวเต็งลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อย่างเต็มตัว รุกก็ดี รับก็แน่น ฉะนั้นต้องรอติดตามกันว่า เชลซี จะรักษาฟอร์มการเล่นที่สุดยอดนี้ไว้ได้หรือไม่

ยิมสมิธ-

logoline